อาจารย์เล่านิทาน

 

 พระเจ้าเป็นผู้ประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด-
เรื่องของเจ้าชายแตงโม

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา 16 มิถุนายน 2544
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)วีดิทัศน์ #724

เรื่องนี้เป็นนิทานจากเอาหลากเกี่ยวกับเจ้าชาย ซึ่งแม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยเป็นบุคคลธรรมดาที่ยากจน ซึ่งถูกรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมโดยกษัตริย์ของเอาหลาก และแน่นอนหลังจากที่ถูกรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมโดยกษัตริย์แล้ว เขาก็มีชีวิตแบบเจ้าชาย เขามีทุกอย่างที่เขาต้องการ และมีความสุข และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เขาสวมเสื้อผ้าที่เป็นไหมที่สวยงาม อาศัยอยู่ในพระราชวังที่งดงาม และมีคนรับใช้และนางสนมที่งดงาม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีทุกชนิด

ทุกคนจึงอิจฉาเขาและบอกเขาว่า “ว้าว! คุณเป็นคนที่โชคดีอะไรเช่นนั้น! จู่ ๆ คุณก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนปรารถนาอยากจะได้คือ ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง สุขภาพ ความสะดวกสบาย และเกียรติยศ ทุกคนนับถือคุณ และทุกคนนำทุกอย่างที่คุณขอมาให้ คุณเป็นคนที่โชคดีมาก!” เจ้าชายที่ถูกรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจึงพูดว่า “โอ้ ใช่แล้ว แต่ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกอย่างทั้งหมดนี้ พระเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระเจ้าช่างเต็มไปด้วยพระกรุณาคุณ พระเจ้าดีต่อฉัน พระเจ้าให้ทุกอย่างกับฉัน!”

เมื่อพระราชาได้ยินเรื่องนี้พระองค์ก็กริ้วมากและพูดว่า “เจ้าลูกอกตัญญู ฉันเป็นพระราชา ฉันเป็นผู้ที่ให้ความสะดวกสบายทั้งหลายนี้แก่เจ้า รวมทั้งความมั่งคั่ง และชีวิตที่ดี แต่เจ้าก็ไม่เคยแม้กระทั่งพูดขอบคุณฉัน เจ้ากลับขอบคุณพระเจ้า และฉันก็ไม่รู้ว่าใครคือพระเจ้า! เจ้าเคยเห็นพระเจ้าหรือ? พระเจ้าเคยให้อะไรกับเจ้าบ้างหรือ? เจ้าขอบคุณคน ๆ นั้นในขณะที่ฉันเป็นผู้ให้ ฉันเป็นพระราชา เจ้าควรจะจดจำไว้!”

แต่เจ้าชายก็ยังไม่ขยับเขยื้อนและพูดว่า “แม้กระทั่งความมั่งคั่งและอำนาจของพระองค์ ทุกอย่างที่พระองค์มี พระเจ้าก็เป็นผู้ให้แก่ท่านทั้งนั้น! เราทั้งหลายต่างเป็นหนี้พระเจ้า ฉันไม่สามารถพูดว่า ขอบคุณท่าน! ฉันสามารถขอบคุณบุคคลเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ให้ทั้งจักรวาล ซึ่งก็คือพระเจ้า!”

พระราชาก็ยิ่งกริ้วหนักขึ้นไปอีก มากยิ่งกว่าแต่ก่อน และพูดว่า “เจ้ายังไม่รู้จักสำนึกผิด เจ้าลูกอกตัญญู! เอาล่ะ ฉันจะแสดงให้เจ้ารู้ว่าใครคือผู้ที่ให้ที่แท้จริง ถ้าไม่มีฉันเจ้าก็จะได้เห็นว่า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร มาดูกันซิว่า พระเจ้าของเจ้าจะให้เจ้าแบบที่ฉันได้ให้เจ้าที่นี่หรือเปล่า จงไปซะ เจ้าจะต้องถูกเนรเทศไปยังเกาะที่อยู่ห่างไกลและไร้ผู้คน ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น และยากที่จะมีชีวิตรอด เพราะว่า มันห่างไกลจากความเจริญ และห่างไกลจากทุกสิ่งทุกอย่าง มาดูกันซิว่า พระเจ้าของเจ้าจะทำให้เจ้าอยู่รอดได้หรือเปล่า”

ตรัสเสร็จก็เป็นไปตามนี้ ออกคำสั่งปิดแสตมป์และปิดผนึก เจ้าชายและมเหสีของพระองค์ก็ถูกส่งไปด้วยเรือลำเล็ก ๆ โดยมีเครื่องประทังชีวิตเล็กน้อยที่อยู่ได้ 1 เดือน พระองค์กับพระมเหสีได้แล่นเรือออกไปยังเกาะ ๆ หนึ่ง และหลังจาก 1 เดือนผ่านไปอาหารก็หมด และพระมเหสีก็เริ่มตกใจ แต่เจ้าชายก็พูดกับนางว่า “ไม่ต้องห่วง! พระเจ้าได้ให้กำเนิดแก่เรา และพระเจ้าได้ให้ชีวิตแก่เราจนกระทั่งบัดนี้ พระเจ้าจะยังคงให้สิ่งต่าง ๆ แก่เราต่อไป”

แล้วทั้งสองก็นั่งลงและทำสมาธิ ท่องนามของอาจารย์ผู้สูงสุด และแล้วบางอย่างก็เกิดขึ้น! วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทั้งสองก็เห็นนกสีดำ จากนั้นก็มีนก 2 ตัว แล้วก็ 3 ตัว แล้วก็ทั้งฝูง กำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ไม่ไกลจากทั้งสอง มันเป็นอะไรบางอย่างที่ข้างนอกดูสีเขียว ข้างในเป็นสีแดงและมีเมล็ดสีดำ ๆ

ตามที่เราทราบกันดีว่า อะไรก็ตามที่นกกินได้ เราก็สามารถกินได้ มันอาจจะมีรสอร่อยหรือไม่อร่อย แต่ถ้านกกินได้ ก็หมายความว่ามันไม่เป็นพิษ ดังนั้น มเหสีจึงพูดกับพระสวามีว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่า เราจะมีอะไรทานแล้วล่ะ” ดังนั้นทั้งสองจึงไปตรวจตราดู และลองชิมสิ่งที่หลงเหลือจากนก โอ! มันอร่อยดี! ดังนั้น ทั้งสองจึงไปหาแหล่งของต้นไม้เหล่านี้ เพื่อที่จะได้มีผลไม้ทานเพิ่ม และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปไกลนัก เพราะว่า ผลไม้ชนิดนี้มีอยู่ทุกแห่งที่อีกด้านหนึ่งของเกาะ ซึ่งทั้งสองยังไม่เคยไปมาก่อน ดังนั้น ทั้งสองจึงไปที่นั่นไปเก็บผลไม้ทุกวันและทานมัน และนั่นคือวิธีการที่ทั้งสองดำรงชีวิต แตงโมให้ของเหลวและเมล็ดที่อยู่ข้างในเต็มไปด้วยโปรตีน

ดังนั้น พวกเขาจึงมีชีวิตรอดอยู่ได้ พวกเขาได้โปรตีน ของเหลว และใยอาหารเป็นผัก และโปรตีนในอาหารมื้อเดียว พวกเขาทานแตงโมและรู้สึกดี และทุกวันพวกเขาก็มีความสุข ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วง และพวกเขาก็มีความสุขมาก แล้วสามีก็พูดกับภรรยาว่า “ชีวิตนี้ดีซะยิ่งกว่าชีวิตในพระราชวัง ในพระราชวัง เธอมีไหม ทอง และอาหารอร่อย ๆ ทุกชนิด แต่เธอจะต้องทำตามกฎและรักษามารยาท และเธอก็จะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม เธอจะต้องดูเป็นเจ้าชายอยู่เสมอ ดูสูงส่ง และเรียบร้อยสำหรับทุกคนที่จะมองดูเธอ”

“แล้วสำหรับกษัตริย์ เธอก็จะต้องโค้งคำนับพระองค์เสมอตอนเช้าและตอนกลางคืน และทุกครั้งที่เธอพูดกับกษัตริย์ เธอจะต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ และทำให้เข่าเธอเจ็บและอื่น ๆ ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าชีวิตนี้ดีกว่ามาก ๆ! เรานอนกับพระอาทิตย์ เราตื่นขึ้นมากับพระอาทิตย์ และเราทำสมาธิตลอดวัน เราเดินทอดน่องไปบนผืนทรายที่ขาวบริสุทธิ์ และจับมือกันภายใต้ต้นสน เราร้องเพลงภายใต้เงาของแสงจันทร์ เราเดินเป็นไมล์ ๆ ไปตามชายหาด และสูดอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น 100% โดยที่ไม่ต้องห่วงอะไรในโลกนี้ ฉันจะไม่ยอมแลกอาณาจักรทั้งอาณาจักรหรือโลกทั้งโลกสำหรับสิ่งนี้”

แล้วภรรยาก็พูดว่า “ถูกต้อง ที่รัก ถูกต้อง เราโชคดีจริง ๆ!”

ดังนั้น วันแล้ววันเล่าพวกเขาก็สนุกสนานกับชีวิต พวกเขาสนุกสนานมาก จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาก็คิดถึงบางอย่างและพูดว่า “ผลไม้เช่นนี้ แต่ก่อนเราไม่เคยลิ้มรสมาก่อน เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามันอร่อยและมันดีต่อสุขภาพ และทำให้เธอรู้สึกเย็นสบายและดี! ดังนั้น เราแบ่งปันกับใครก็ตามที่เราสามารถทำได้ดีกว่า แต่เนื่องจากว่าไม่มีใครมาที่นี่ บางทีเราก็อาจจะโยนมันลงไปในทะเล และใครก็ตามที่ได้มันก็สามารถรับประทานมันใด้”

สามีก็พูดว่า “เป็นความคิดที่ดี! บางทีเราอาจจะวาดแผนที่ของเกาะแห่งนี้ เพื่อว่าคนจะได้สามารถมาที่นี่ได้ และนำมันกลับไปได้มากขึ้น เพื่อไปรับประทานยังบ้านของพวกเขา”

ดังนั้น พวกเขาจึงเขียนข้อความด้วยถ่านบนใบไม้ และเจาะรูในแตงโมแต่ละใบ และยัดข้อความนี้เข้าไปข้างในพร้อมกับแผนที่และปิดมัน จากนั้นก็ปล่อยมันให้ลอยไปทั่วเกาะ และคลื่นมหาสมุทรก็จะพามันไปทุกทิศทุกทาง ไม่นานหลังจากนั้น พ่อค้าซึ่งทำธุรกิจทางทะเลก็เก็บแตงโมได้ เปิดมันขึ้นมา และเห็นข้อความภายใน ได้รับประทานมัน และชอบมันมาก ดังนั้น พวกเขาจึงหาหนทางที่จะไปยังเกาะและเอาแตงโมเหล่านี้

และเมื่อพ่อค้ามาถึงที่นั่น พวกเขาก็ได้แตงโม แต่พวกเขาก็ได้แลกเปลี่ยนสิ่งจำเป็นพื้นฐานบางอย่างด้วย อะไรก็ตามที่สองสามีภรรยาต้องการ พ่อค้าก็จะนำมาแลกกับแตงโม เพราะว่าตอนนั้นแตงโมเป็นสิ่งที่หายาก ไม่เคยมีใครได้รับประทานมันมาก่อน แม้กระทั่งพระราชาก็ไม่เคยเสวยมาก่อน ดังนั้น พ่อค้าจึงนำผลไม้กลับไปบ้านและขายมัน และทำกำไรอย่างงดงาม เพราะว่ามันหายาก จนกระทั่งคนยอมจ่ายไม่ว่าราคาใด โดยเฉพาะคนที่ร่ำรวย พวกเขาจะยอมจ่ายในทุกราคาเพื่อให้ได้แตงโม เพื่อพวกเขาจะได้เอาไปโชว์ให้เพื่อน ๆ ดู และนำไปเป็นของขวัญให้กับคนที่พวกเขารัก หรือแม้กระทั่งให้กับเจ้าหน้าที่ในวังของกษัตริย์ รวมไปถึงพระราชาด้วย ดังนั้น คนจึงจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก และพ่อค้าก็นำทุกอย่างไปให้กับสองสามีภรรยา

ไม่นานหลังจากนั้น เกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางค้าขายขนาดใหญ่ และสามีภรรยาก็ไม่จำเป็นต้องดูแลแม้กระทั่งผลไม้เลย นกจะกินมัน และโยนเมล็ดไปบนผืนทราย ซึ่งแตงโมก็จะเติบโตขึ้นมาอีก ตลอดทั้งปีพวกเขาก็มีผลไม้เพียงพอสำหรับผู้คนเสมอ

และไม่นานสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ร่ำรวยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง รวยเสียยิ่งกว่าแต่ก่อน พวกเขามีของที่มีค่าและหายากในโลกทุกอย่าง เพราะว่า ผู้คนที่มาจากชาติต่าง ๆ ได้นำของขวัญสารพัดชนิดเพื่อมาแลกกับแตงโม แม้ว่าสองสามีภรรยาจะไม่เอาเงิน พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณสำหรับผลไม้ที่เอร็ดอร่อยเช่นนี้ และสำหรับผลกำไรที่ทำได้ พวกเขาเอาของขวัญมากมายมาให้ ซึ่งสองสามีภรรยาก็ไม่ต้องการเลย

วันหนึ่งกษัตริย์ก็ได้ชิมผลไม้เช่นนั้น และได้ถามว่ามันมาจากไหน และต้องการมากขึ้น! พ่อค้าจึงพูดว่า “เราสามารถเอามาเพิ่มได้ แต่ท่านจะต้องรอสัก 2-3 เดือน เราจะต้องไปยังเกาะแห่งหนึ่งและไปเอามันมา”

กษัตริย์จึงพูดว่า “เกาะนั้นอยู่ที่ไหนหรือ? มันเป็นเกาะชนิดไหนกันที่มีผลไม้ที่เอร็ดอร่อยเช่นนี้”

แล้วพวกเขาก็พูดว่า “มันเป็นเกาะ ๆ เดียวกันกับที่พระองค์เนรเทศเจ้าชายของเราไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน” กษัตริย์ก็จำขึ้นมาได้ อันที่จริงพระองค์ก็จำสองสามีภรรยาได้บ่อยมาก และคิดถึงพวกเขามาก จนรู้สึกโศกเศร้ามากอยู่ภายใน พระองค์รู้สึกสำนึกผิดต่อทุกคนสำหรับความโกรธครั้งก่อนนั้น และได้พูดว่า “เพียงแค่ชั่วขณะของความโกรธ ฉันก็ไม่ได้คิดอย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า พวกเขาทำถูกแล้ว ฉันคิดว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้คนเดียวเท่านั้น ฉันจะทำอะไรได้โดยที่ไม่มีพระเจ้าล่ะ? ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าพวกเขาจะกลับมา”

ดังนั้นจึงเป็นเพราะผลไม้นี้ ที่พ่อ และลูก และลูกสาวได้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง และมันได้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขมากสำหรับทั้งชาติ กษัตริย์ได้จัดให้เป็นวันหยุดประจำชาติและเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ ซึ่งทุกคนได้ดื่ม เต้นรำ และขับร้องอย่างมีความสุขตลอดทั้งเดือน และบางคนก็ยังทำต่อไปจนถึงเดือนถัดไป หรือแม้กระทั่งเป็นเวลา 3 เดือน และแน่นอน สองสามีภรรยาก็ได้นำแตงโมมากมายเหล่านี้กลับมาที่บ้าน เพื่อเป็นของขวัญกับพระราชาและกับพระราชวัง และยังได้เอาเมล็ดจำนวนมากมายมายังแผ่นดินใหญ่ ซึ่งพวกเขาได้เพาะปลูกมัน และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ได้มีแตงโมมากมาย และทุกครั้งที่เราทานมัน เราก็สามารถคิดถึงพระเจ้าได้ นั่นคือสิ่งที่เราควรทำเมื่อเราทานแตงโม

ตอนนี้เธอก็รู้ถึงเรื่องราวนี้แล้วนะ มันเป็นเรื่องที่งดงามมาก และเจ้าชายองค์นั้นคงจะเป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่ดีมาก เพราะว่า หลังจากนั้นกษัตริย์ก็ได้อุทิศเวลาของพระองค์ในการค้นหาพระเจ้าและการรู้แจ้ง ดังนั้น แตงโมจึงเป็นหลักฐานที่ว่า มันได้เปลี่ยนแปลงกษัตริย์และเกือบจะทั้งชาติให้รู้แจ้ง เพราะว่า พวกเขาจะได้จดจำพระเจ้าได้ทุกวัน เพียงแค่จากการทานแตงโม และจากการที่พระราชาได้ทำเป็นตัวอย่างที่ดี และพระองค์ก็ได้อุทิศตัวเองมากขึ้น ๆ ให้กับการบำเพ็ญสมาธิ ให้กับการสวดมนต์ การจดจำพระเจ้า การสวดถึงพระเจ้า และการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า