จิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์
 
ประสบการณ์ใกล้ตาย และ
การดำรงอยู่ของวิญญาณหลังการตาย

จากโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ตอนที่ 116

การดำรงอยู่ของวิญญาณเป็นเรื่องโกหกหรือไม่? วิญญาณยังคงมีอยู่หลังจากการตายใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมที่จะมี "ชีวิต" อีกหลังจากกายเนื้อได้ตายไปแล้ว? นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลาย ๆ คนได้เพียรพยายามตอบคำถามเหล่านี้มานานหลายปี บางคนกล่าวว่าการศึกษาเรื่องของชีวิตหลังความตายโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ทางเดียวที่อาจจะสำเร็จก็คือการให้คนที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกเพื่อตอบคำถาม แพทย์บางคน เช่น ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ดร.เคนริง และดร.บรูซ เกรย์สัน พวกเขามีคนไข้หลายคนที่ทำเช่นนั้นได้ คือฟื้นกลับมาหลังจากตายไปแล้ว หลังจากมีหลักฐานบันทึกประสบการณ์ของคนไข้เหล่านี้ แพทย์เหล่านี้ปัจจุบันก็ยินยอมเชื่อว่าพวกเขามีข้อพิสูจน์ในเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณ และชีวิตหลังความตาย

รูดอล์ฟ สเตนเนอร์ ผู้เขียนเรื่อง "ชีวิตเหนือความตาย"

รูดอล์ฟ สเตนเนอร์ ผู้เขียนเรื่อง "ชีวิตเหนือความตาย" ไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นกลุ่มองค์ประกอบทางกายภาพของอวัยวะทั้งหลาย เขากล่าวว่าร่างกายเนื้อคือธาตุต่าง ๆ ของอสูร และกิจกรรมของอัตตา ซึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างและเคลื่อนไหวได้ เขายังกล่าวว่าวิญญาณและจิตทำงานร่วมกันกับอวัยวะของร่างกาย และแปรรูปออกมาเป็นภาพของจักรวาลทางจิตวิญญาณ จากสิ่งนี้วิญญาณจึงจุติลงมาในครรภ์

คำอธิบายนี้มาจากมุมมองทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนหันมาเชื่อในเรื่องการมีอยู่เหนือกายภาพโดยผ่านวิธีการทางฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum Physics) วิธีการนี้อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันและกันและสามารถส่งผลกระทบถึงกันและกันด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วของแสง และจิตสำนึกนั้นกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวของข้อมูลที่เกือบเป็นทางจิตวิญญาณ บางคนกล่าวว่าทฤษฎีนี้เป็นการเริ่มต้นทางวิทยาศาสตร์ในการทำความเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องความลึกลับ และเรื่องทางผีสางบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในเรื่องของชีวิตหลังความตายนั้นมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย(NDEs)

ประสบการณ์ในระหว่างใกล้ตายของคนที่ตายทางร่างกาย บางครั้งในระหว่างการผ่าตัดหรือหัวใจวาย หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น และหยุดหายใจ แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง หัวใจของพวกเขาก็เริ่มทำงาน และพวกเขาเริ่มหายใจอีกครั้ง คนที่มีประสบการณ์เหล่านี้พยายามอธิบายประสบการณ์การออกจากร่าง และความรู้สึกของการเริ่มเข้าไปในโลกของจิตวิญญาณ

มีแพทย์หลายคนได้ทำการรวบรวมข้อมูลคนไข้ที่รายงานเรื่องของประสบการณ์ประเภทนี้มากว่า 30 ปี นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้นเอง แต่ลักษณะพิเศษหลาย ๆ อย่างของประสบการณ์ใกล้ตายนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแนวคิดที่ว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอน

มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คนขับรถบรรทุกอายุ 55 ปี ชื่อ อัล ซัลลิแวนตายในขณะทำการผ่าตัดครั้งที่สาม เมื่อเขาพบกับแม่และน้องเขยที่ตายไปแล้วในระหว่างที่เขาใกล้ตาย ซัลลิแวนกล่าวว่าแม่ของเขาบอกเขาให้กลับไปและให้บอกเพื่อนบ้านของเขาว่าลูกชายของพวกเขานั้นที่เป็นโรคความบกพร่องของการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (lymphoma) จะหายป่วย เป็นที่น่าสังเกตุว่า อัล ซัลลีแวนก็พูดได้แม่นยำว่าศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเขาได้พับแขนของเขาให้มืออยู่ใต้รักแร้ ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงภาพหลอน ดร.เกรย์สัน ผู้ทำการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า "เป็นไปได้อย่างไรที่ข้อมูลที่แม่นยำเหลือเชื่อและพิสูจน์ได้นี้ เป็นผลมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย?"

มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตายจะนำข้อมูลอันลึกซึ้งจากอีกโลกหนึ่งนั้นกลับมา บางครั้งข้อมูลนั้นก็เป็นทางกายภาพมาก และบางครั้งก็เป็นทางจิตวิญญาณมาก ประสบการณ์ระหว่างที่ใกล้ตายของสุภาพบุรุษที่ชื่อว่าเมลเลน โธมัส เบเนดิกท์ เขามีผลงานทางวิทยาศาสตร์ด้านไบโอ โฟตอนนิค (bio-photonics คือชีววิทยาด้านการสร้าง การควบคุมและการตรวจจับโฟตอน) การสื่อสารด้วยเซลลูล่าร์ (cellular communication) ชีววิทยาควอนตัม (quantum biology) และดีเอ็นเอ (DNA) เขาได้รับสิทธิบัตร 6 แขนงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประสบการณ์ใกล้ตายบางเรื่องได้เกิดขึ้นกับคนที่ตายไปแล้วหลายวัน มีชายคนหนึ่งชื่อโรโดเนีย ผู้ป่วยทางระบบประสาท เขาอยู่ในภาวะใกล้ตาย 3 วัน เขาออกจากร่างไปในขณะที่แพทย์เริ่มทำการผ่าตัด ก่อนหน้าที่เขามีประสบการณ์ เขาเคยเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เนื่องจากประสบการณ์ของเขาทางจิตวิญญาณในอีกโลกหนึ่งนั้นลึกซึ้งมาก หลังจากนั้นมาเขาก็ทำปริญญาเอกใบที่สองทางด้านจิตวิญญาณและศาสนา และกลายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ข้อพิสูจน์เรื่องวิญญาณหลังความตายอีกอันหนึ่งที่เชื่อถือได้เป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คือกลุ่มเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ตายหมู่ขณะทำการดับไฟป่า พวกเขาต่างรายงานว่าในขณะที่อยู่ในภาวะใกล้ตายพวกเขาเห็นกันและกันลอยอยู่เหนือร่างกายที่ไม่มีชีวิตของพวกเขา และทั้งหมดก็รอดชีวิตมาได้ในที่สุด

"ประสบการณ์ใกล้ตาย" แต่งโดย ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ในหนังสือ "ชีวิตหลังจากชีวิต" ดร.มูดดี้ยังเป็นนักประพันธ์หนังสือขายดี 11 เล่ม ซึ่งขายไปแล้วทั่วโลกกว่า 13 ล้านเล่ม และเขายังเขียนบทความอีกมายมายในสถานศึกษาและหนังสือทางวิชาการ อย่างเช่น "ประสบการณ์ใกล้ตาย" "ความตายที่สง่างาม" และ "ชีวิตหลังการสูญสิ้น" และปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์ยักษ์ใหญ่อย่างเช่นโอปราห์ ,เจอรัลโด ,เอ็นบีซี ทูเดย์ และเอบีซี เทิร์นนิ่ง พอยท์ ดร.มูดดี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาจับใจผู้ฟังด้วยผลงานอันลือลั่นในเรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายและเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตาย ในหนังสือ "ชีวิตหลังชีวิต"


ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ และหนังสือของเขา

ดร.มูดดี้ได้ทำการค้นคว้าวิจัยคนไข้ที่ประสบกับ "การตายทางการแพทย์" แล้วฟื้นขึ้นมามากกว่า 100 ราย งานศึกษาชิ้นเอกนี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้เขียนชั้นแนวหน้าของโลกในวงการเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย "ชีวิตหลังชีวิต"ได้เปลี่ยนทัศนะของเราในเรื่องชีวิตและความตาย เนื้อเรื่องของเขาที่ตัดตอนมามีตอนหนึ่งได้อธิบายประสบการณ์ใกล้ตายว่าเป็นเหมือน "ความรู้สึกว่าล่องลอยและขาดการติดต่อจากกายเนื้อของคุณ" เขากล่าวต่อไปว่า "วิญญาณมองดูร่างที่ไร้ชีวิตนั้นจากมุมหนึ่งของเพดาน และรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของความสงบและเยือกเย็น และเวลาเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย วิญญาณรู้สึกจมอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิดและมีแสงสีขาวที่สว่างเจิดจ้าอยู่ปลายอุโมงค์ เมื่อคุณเข้าไปในแสงสีขาวนั้น ผู้เป็นที่รักหรือบุคคลทางศาสนาจะมาต้อนรับคุณ และคุณจะได้ชมภาพยนต์แห่งชีวิตย้อนหลัง" น่ามหัศจรรย์ที่หลาย ๆ คนจากส่วนต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนอธิบายประสบการณ์ที่เหมือนกันมากเช่นนี้ พวกเขายังรายงานถึงการมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่น่าเคารพ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เพิ่มความใกล้ชิดยิ่งขึ้น และการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมาย

ดร.มูดดี้ได้อธิบายถึงกรณีศึกษาของหญิงตาบอดคนหนึ่งที่สามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำถึงเครื่องมือที่ใช้ในการนำชีวิตเธอฟื้นมาใหม่หลังจากหัวใจวาย - ถูกต้องทุกอย่างในเรื่องสีทั้งหมด (“right down to their colors") ข้อเท็จจริงที่ว่าหญิงคนนี้ตาบอดมานานถึงห้าสิบปีจึงเป็นจุดสนใจที่มีเหตุผลของประสบการณ์ใกล้ตาย มูดดี้ยังได้รายงานว่าคนส่วนมากที่มีประสบการณ์ใกล้ตายล้วนแต่ไม่อยากกลับมาหลังจากที่ได้ละทิ้งร่างกายไปแล้ว คนไข้บางรายถึงกับโกรธแพทย์ที่นำเขากลับมา พวกเขาต้องมีประสบการณ์ที่ดีมากทีเดียว

ดร.เคนริง เป็นศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Connecticut เขามีบันทึกของประสบการณ์ใกล้ตาย ประมาณ 102 ราย การวิจัยล่าสุดของเขาคือเรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายในหมู่คนตาบอด และการค้นพบของเขาสามารถหาอ่านได้ในหนังสือล่าสุดของเขา ชื่อ มุมมองของจิต หนังสือเล่มก่อน ๆ ของเขาเช่น ชีวิตเมื่อตาย บทเรียนจากแสง มุ่งหน้าสู่อวสาน และโครงการอวสาน การวิจัยของ ดร.ริง ในเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย เช่น คนไข้ที่เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ขณะที่ออกไปจากร่างของเขาเอง ซึ่งภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง เขาได้วิจัยเรื่องประสบการณ์ก่อนตายซึ่งยืนยันเรื่องการกลับชาติมาเกิด


ดร.เคนริง และหนังสือของเขา

ปรากฏการณ์ที่น่าหลงใหลเกิดขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ก่อนตายได้รายงานว่าในขณะที่ใกล้ตาย วิญญาณของพวกเขาปรากฏต่อหน้าคนบางคน ปกติก็มักจะเป็นคนที่รัก มีการบันทึกว่าคนเหล่านี้ได้ยินการสนทนาระหว่างคนอื่น ๆ ในเวลาที่พวกเขาออกจากร่างไป ดร.ริง กล่าวว่า "ข้อพิสูจน์ชนิดนี้หรืออื่น ๆ ได้ให้หลักฐานพยานแวดล้อมสำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกอยู่รอด"

ดร.ริงได้เขียนบทความในวารสาร Near-Death Studies (การศึกษาใกล้ตาย) เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย เขารายงานว่า ทันทีที่ออกจากร่าง คนนั้นจะมีประสบการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งรวมทั้ง "การเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่าหรืออุโมงค์มืดมิดมุ่งหน้าไปที่แสงสว่างอันเจิดจ้านั้น พบกับญาติหรือเพื่อน ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว มีความรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งใหญ่ และมีความสุขหฤหันต์ ถูกห้อมล้อมด้วยความรักอันเมตตา และความรู้สึกอันสวยงามที่พวกเขาปรารถนาให้คงสภาพเอาไว้ เมื่อผู้คนได้กลับมายังโลกนี้หลังจากที่พวกเขามีประสบการณ์ใกล้ตาย พวกเขาถูกกระทบจากความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่" นี่ก็เกือบเหมือนกับการค้นพบของ ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้

ดร.บรูซ เกรย์สัน

แพทย์คนต่อไปที่มีการบันทึกซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจของคนที่มีประสบการณ์การออกจากร่างหรือประสบการณ์ใกล้ตาย ดร.บรูซ เกรย์สัน เป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาโรคจิต ที่มหาวิทยาลัยระบบสุขภาพเวอร์จิเนียร์ (the University of Virginia Health System) เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม the Para-psychological Association (องค์กรอาชีพนานาชาติของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทำงานด้านการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ) การวิจัยของเขามุ่งไปที่ประสบการณ์ใกล้ตาย เขาเป็นผู้ได้รับเงินอุดหนุนการทำวิจัยเก้าเรื่องซึ่งเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายการวิจัย และได้ปาฐกถาในงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์มามากกว่า 60 ครั้งในการประชุมระดับประเทศและระดับภูมิภาค ดร.เกรย์สันยังได้พิมพ์หนังสือมากกว่า 60 เรื่อง เขาเขียนหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อว่า "ประสบการณ์ใกล้ตาย:ปัญหา สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่ปรากฏ" และเขายังเป็นบรรณาธิการหนังสือ the Journal of Near-Death Studies(วารสารของการศึกษาใกล้ตาย) เป็นเวลากว่า 22 ปีที่ผ่านมา

ดร.เกรย์สันได้บันทึกสุขภาพในระยะยาวของคนไข้ที่ได้รายงานถึงเหตุการณ์ใกล้ตาย เขายังเขียนวิธีการทางอายุรเวชในการช่วยเหลือการปรับตัวการดำเนินชีวิตของคนไข้หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย

การมีประสบการณ์ใกล้ตายเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ทำให้คนส่วนใหญ่กลับมาเปลี่ยนแปลงตนเอง อาชญากรหันมาให้การช่วยเหลือผู้อื่น สุขภาพดีขึ้น ปัญหาทางจิตใจได้รับการแก้ไข คนส่วนใหญ่หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตายล้วนกล่าวว่าพวกเขาไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ พวกเขารู้ว่ามีพระเจ้า เมื่อเราลงมายังโลกนี้ เราสูญเสียการติดต่อกับพระเจ้า เราลืมการมีอยู่ของพระองค์ แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย เราได้ติดต่อกับตัวตนสวรรค์นั้นอีกครั้งหนึ่ง ตัวตนของเราอีกด้านหนึ่งซึ่งรักเราอย่างลึกซึ้งเกินบรรยาย ส่วนนั้นซึ่งอยู่ภายในตัวเรานิรันดร และไม่ว่าชีวิตจะตายทางกายภาพขณะที่อยู่ในประสบการณ์นั้น วิญญาณของเรายังคงรับรู้เหตุการณ์ตลอดเวลา และนำกลับมาบอกเล่าให้ผู้ที่ได้รับฟังต้องประหลาดใจ ร่างที่ลึกลับและสง่างามของสิ่งที่ปรากฏในการแสดงเหตุการณ์ช่วงใกล้ตายนั้น อยู่เหนือข้อสงสัยใด ๆ ว่าวิญญาณมีอยู่จริงเหนือชีวิต และพระเจ้าก็เช่นกัน


http://www.near-death.com/evidence.html

http://www.near-death.com/evidence.html#a1 http://www.akashicuniversity.com/articles/LifeDeath.htm
http://wilstar.com/OverCoffee/oc-religion.htm http://www.skylarkbooks.co.uk/Shop/media/
The_Human_Soul_in_Relation_to_World_Evolution.htm
http://www.near-death.com/
http://www.lifeafterlife.com/index.html