อาจารย์กล่าว

 

 

 

ก้าวตามให้ทันกับย่างก้าวแห่งการพัฒนาของจักรวาล

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ บูดาเปสต์ ฌานฮังการี
วันที่23-24 กุมภาพันธ์ 2548 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

เราจะต้องช่วยโลกให้วิวัฒนาการสูงขึ้นและสูงขึ้น เพื่อเข้าร่วมกับกาแลคซี่อื่นๆที่พัฒนาแล้ว และด้วยการทำเช่นนั้น เราก็ได้ช่วยยกระดับตัวเราด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โลกได้เปลี่ยนแปลงไป ฉันได้เปลี่ยนแปลงไปและเธอได้เปลี่ยนแปลงไป ทุกคนจะต้องเปลี่ยนแปลง เราจะต้องตามให้ทัน ฉันดูเหมือนเดิมแต่ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป แนวคิดภายในได้เปลี่ยนแปลงไปและวิธีการของฉันได้เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเธอจะต้องเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงวิธีการที่เธอคิด เปลี่ยนแปลงวิธีการที่เธอปฏิบัติต่อตนเอง และเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เธอปฏิบัติต่อการนั่งสมาธิ เธอจะต้องทำให้มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ!

เพราะฉะนั้นถ้าเธอจะต้องทำอะไรก็ให้ทำมันเลย ถ้าไม่ทำก็ให้ไปหาที่นั่งสมาธิซะ ที่ไหนก็ได้ แม้ถ้าเธอจะต้องนั่งลงบนหิมะโดยใส่เสื้อโค้ตก็ให้ทำไป ขอให้นั่งตรงนั้นและนั่งสมาธิ เธอจะไม่ใช่คนแรก เธอโชคดีมากกว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งในประเทศจีนซึ่งก่อนที่ท่านจะกลายเป็นอาจารย์ ได้คุกเข่าอยู่ข้างนอกในหิมะเป็นเวลา 3 วันเพื่อขอประทับจิต หลังจากที่คุกเข่าไปแล้ว 3 วันบนพื้นดินในหิมะหนา อาจารย์ก็ยังคงบอกว่า “ไม่” ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของเขา เขาจึงตัดแขนของเขาและเอาแขนนั้นไปมอบให้กับอาจารย์ อาจารย์ก็เลยซาบซึ้งใจและประทับจิตให้เขา แล้วเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสังฆปรินายก 6 องค์ของประเทศจีน (ฮุ่ยเข่อ สังฆปรินายกองค์ที่ 2 ของศาสนาพุทธเซ็น)

ฉันไม่ได้ขอให้เธอตัดแขนของเธอ (เสียงหัวเราะ) ฉันหมายความว่าเธอโชคดีมากอยู่แล้ว แม้ถ้าเธอต้องนั่งสมาธิในหิมะ ก็ให้ทำไป ทำไปซะ! แม้ถ้าเธอนั่งอยู่ตรงนั้นและจิตของเธอวิ่งพล่านไปทั่วทุกสารทิศ พระเจ้าก็ยังคงรู้ว่าเธออุทิศตนและเธอก็จะได้รับคะแนนของเธอ เพราะสิ่งที่เราทำได้ก็คือพยายามอย่างดีที่สุด มันไม่ใช่ความผิดของเราที่จิตนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่โง่มากมาย สิ่งที่เป็นทางโลกและไม่สำคัญในชีวิต ชีวิตนี้ครอบงำเราในทุกทิศทางตลอดเวลาและในทุกสถานการณ์ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เธอมีโอกาสนั่งสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์ ในรถบัส ในสวนสาธารณะ ในสถานที่ดูแลเด็กทารก ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เธอควรจะนั่งสมาธิ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน เมื่อโลกกำลังเข้าร่วมกับกาแลกซี่ที่พัฒนาอื่นๆทั้งหลาย ทุกอย่างได้รับการให้พรและเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ศรัทธา

แม้ถ้าเธอหิวโหยและกระหายน้ำ ก็ขอให้นั่งสมาธิ แน่นอนถ้าเธอมีอาหารและเครื่องดื่มก็ให้ดูแลตัวเอง แต่ถ้าเธอต้องตายในขณะนั่งสมาธิก็ให้ทำมันไปซะ นั่นคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่คู่กับเธอ ไม่เป็นไรไม่ต้องกังวล เราก็กำลังช่วยโลกอยู่เหมือนกันให้เปลี่ยนผ่านไปอย่างดีเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ เธอได้ยินมาว่าในปีพ.ศ. 2543 (คศ.2000)โลกจะต้อง “พังพินาศ”ไป นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ฉันไม่อยากจะบอกเธอ แน่นอน มันก็เป็นเพราะว่าฉันอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน มันจึงไม่เกิดขึ้น ในลอนดอนฉันได้บอกเธอว่ามันจะไม่เกิดขึ้น! และมันก็ไม่เกิดขึ้น (โปรดดูดีวีดี#662 เผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญวันที่ 9 มิถุนายน 2542) แต่มันก็เกือบจะเกิดขึ้น! ดังนั้นภัยพิบัติตามที่เขียนในคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงมีอยู่ทุกหนแห่ง ตัวเธอเองก็รู้ดี ฉันได้บอกเธอล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าเธอจะต้องขยันนั่งสมาธิให้มากขึ้น เพราะว่าช่วงเวลาแห่งการชำระล้างกำลังเกิดขึ้นอยู่

เธอสามารถเห็นสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเธอเองทันทีที่เธอเปลี่ยนแปลง ขณะที่เธอนั่งสมาธิและอันดับชั้นของเธอสูงขึ้น เธอจะรู้สึกได้ด้วยตัวเธอเอง และคนอื่นรอบๆตัวเธอก็สามารถเห็นได้ เธอตัวเบาขึ้น เธอมีใจเปิดกว้างมากขึ้น เธอเป็นคนง่ายๆมากขึ้นและเป็นการง่ายสำหรับเธอที่จะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว คนที่มีอันดับชั้นต่ำกว่าจะมีความซับซ้อนมากกว่า หรือไม่พวกเขาก็มีความซับซ้อนอยู่เสมอ และพวกเขาก็ยังคงซับซ้อนอยู่ต่อไป แต่ทันทีที่เธอได้เปลี่ยนผ่านจากระดับชั้นที่ 2 ไปสู่ระดับที่ 3 มันจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันรวดเร็วมากและแตกต่างมาก! และอันดับชั้นยิ่งสูงขึ้น ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้น

ขอให้คิดก่อนที่เธอจะสวดอธิษฐาน คิดว่าคำอธิษฐานของเธอนั้นดีจริงๆไหม หรือว่ามันเห็นแก่ตัว คำสวดอธิษฐานมีผลลัพธ์ ขอให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอต้องการนั้นดีจริงๆสำหรับทุกคน เพราะว่าทุกอย่างที่เธอสวดขอ ฉันจะต้องทำไม่ใช่ใครอื่นเลย ดังนั้นบางครั้งถ้าฉันนั่งสมาธิให้มากขึ้นก็จะเป็นการดีสำหรับเธอและดีสำหรับโลก ไม่ใช่ว่าการที่ฉันมาพบเธอจะดีสำหรับเธอ มันไม่ได้จำเป็นเสมอไป

เรามีการติดต่อเชื่อมโยงกันอยู่เสมอ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันห่างไกลจากเธอเลย แล้วทำไมเธอจึงรู้สึกว่าเธอห่างไกลจากฉันล่ะ? ไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะนั่งอยู่ที่นี่หรือนั่งอยู่ในถ้ำ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันแยกห่างออกจากเธอ ทำไมเธอจึงรู้สึกแยกห่างและรู้สึกว่าเธอจำเป็นต้องมาพบฉัน? มีอยู่สองสิ่งในชีวิตที่เธอจะต้องแยกแยะให้ออก : สิ่งที่จำเป็นและสิ่งที่เธออยากได้ สิ่งที่จำเป็นนั้นดี มันจะต้องเกิดขึ้น เธอจะต้องมีมัน สิ่งที่เธออยากได้ ถ้าเธอมีมันก็ดี ถ้าเธอไม่มีมัน ก็โอเค ไม่เป็นไร สิ่งที่จำเป็นนั้นโอเค เราควรจะมีมัน แต่สิ่งที่เราอยากได้จะต้องแยกออกจากสิ่งนั้น

แม้ถ้าเธอต้องการพบฉันในวันนี้พรุ่งนี้หรือในปีหน้า กายเนื้อของฉันจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหนล่ะ? เพราะฉะนั้นฉันก็อยู่ในนี้แหละ (อาจารย์ชี้ไปที่ตาปัญญาของท่าน) ฉันอยู่ในนี้ (อาจารย์ชี้ไปที่หัวใจของท่าน) สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเธออยู่กับฉันตลอดเวลาวันละ 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าเธอนั่งสมาธิ เป็นคนดี ปฏิบัติดีต่อผู้อื่นและจดจำพระเจ้า ก็เท่านั้นเอง นั่นคือวิธีการที่เราอยู่ด้วยกัน- เรามองไปในทิศทางเดียวกัน จำได้ไหม? มีคำกล่าวว่าความรักไม่ใช่การมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน แต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน มันถูกต้องมาก เพราะฉะนั้นตราบใดที่เราทำเรื่องเดียวกันและคิดเรื่องเดียวกัน เราก็อยู่ด้วยกันเสมอ และต่อมาในภายหลังเราทั้งหมดก็จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ตลอดไป เราจะต้องช่วยเหลือโลกให้พัฒนาสูงขึ้นและสูงขึ้น เพื่อเข้าร่วมกับกาแลกซี่อื่นๆที่พัฒนาแล้ว และด้วยการทำเช่นนั้น เราก็ได้ช่วยยกระดับตัวเราด้วยเช่นกัน

นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือการรวมกันกับฉันที่ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้วเมื่อเธอมาที่นี่ เธอนั่งที่ตรงนี้แต่เธอก็อยู่ไกลออกไปพันๆไมล์ เธอไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับฉัน เธอทำตามจิตโง่ๆของเธอ เธอไม่ได้ทำตามฉัน เพราะฉะนั้นแม้ว่าเธอจะนั่งอยู่แถวนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เธอกลับไปบ้านเสียจะดีกว่า

เธอจะต้องประหยัดเวลาของเธอ อะไรก็ตามที่ไม่จำเป็นก็อย่าไปทำมัน และอะไรที่เธอจะต้องทำมันก็ให้ทำมันอย่างรวดเร็ว! หนึ่งวินาทีคือชีวิตของเธอ ครึ่งวินาทีก็คือชีวิตของเธอ ขอให้นั่งสมาธิให้ดีและเข้าร่วมกับนักบุญในจักรวาลทั้งจักรวาล เธอจะล้าหลังไม่ได้ พวกเขาจะหัวเราะเยาะเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นลูกศิษย์ของฉัน! เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นพุทธะนั้นมันง่าย เธอเพียงแต่มีธรรมวิถีที่ถูกต้องและบำเพ็ญไป มันก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์ : เธอเพียงแต่ค้นคว้าวิจัยในทิศทางที่ถูกต้องแล้วเธอก็จะค้นพบมันเอง

ความเป็นธรรมชาติก็คือการซื่อสัตย์กับตัวเธอเอง

อย่าไปใส่ใจกับรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็น อย่าไปใส่ใจในเรื่องที่คนบอกเธอเกี่ยวกับตัวเธอ และอย่าไปใส่ใจว่าผู้คนจะคิดอย่างไรกับเธอ เพราะว่าโลกทั้งโลกเป็นมายา ไม่สำคัญว่าใครคิดว่าใครเป็นใคร ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบางครั้งจึงหลอกลวงผู้คน และเราก็จะไม่พยายามทำเรื่องเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเธอต้องตรวจสอบตัวเธอว่าตรงนี้เธอมีความจริงใจหรือเปล่า(ท่านอาจารย์วางมือของท่านบนหัวใจของท่าน) และอย่าได้สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมเพราะมันน่าสะอิดสะเอียน ทุกคนคิดว่าเธอเป็นคนดี แต่เธอไม่ใช่ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับเธอ! ไม่เพียงแต่ไม่ดีสำหรับคนอื่นๆที่เข้าใจเธอผิด แต่มันไม่ดีจริงๆสำหรับเธอด้วย เพราะผู้คนคาดหวังว่าเธอจะเป็นแบบนั้น และเธอก็คิดว่าเธอใช้การได้ แล้วเธอก็จะอยู่แบบนั้นไปตลอด

ดังนั้นเธอก็จะไม่ตรวจสอบตัวเธอ แล้วเธอก็จะไม่พัฒนา! เพราะเธอคิดว่าถ้าเธอเพียงแต่ยิ้ม เป็นมิตรและขยันที่ศูนย์ ทุกคนจะคิดว่าเธอเป็นนักบุญ แล้วเธอก็ใช้สิ่งนั้นมาปกปิดความอ่อนแอภายในของเธอและอันดับชั้นอันต่ำของเธอ แต่มันเป็นสิ่งที่แย่จริงๆสำหรับเธอ เพราะว่ามันได้ผล มันได้ผล! เธอก็เลยยิ้มและทำงานและช่วยเหลือต่อไป เมื่อไรก็ตามที่คนรู้ว่าเธอทำงานเพื่อคนอื่นจะได้คิดว่าเธอกำลังทำงานอยู่ หรือเธอยิ้มและดูน่าคบ คนก็จะคิดว่าเธอเป็นนักบุญ ดังนั้นมันจึงใช้ได้ผลกับเธอ และเธอก็ใช้มันแบบนั้นไปเรื่อยๆ

แต่ยิ่งเธอใช้หน้ากากภายนอกนี้มากเท่าไร เธอก็จะยิ่งติดต่อกับตัวตนของเธอน้อยลงเท่านั้น เพราะว่ามันใช้ได้ผลกับเธอแล้วทำไมจะไม่ใช้ล่ะ? หลังจากนั้นไประยะหนึ่ง เธอก็คิดเหมือนกันว่าเธอโอเค และเธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรพัฒนาข้างในให้มากกว่านี้อย่างจริงใจจริงๆและอย่างแท้จริง ภาพลักษณ์ที่แสดงออกหลอกลวงผู้คนมากมายจริงๆ เธอสามารถแม้กระทั่งหลอกลวงตัวเธอเองได้ เพราะฉะนั้นอย่าทำเรื่องนั้น ฉันไม่มีความสุขถ้าเธอมาที่นี่และมากราบหมื่นครั้ง ฉันบอกให้เธอนั่งสมาธิ ฉันไม่เคยบอกให้เธอกราบฉัน มันทำให้ฉันรำคาญ

อะไรก็ตามที่เธอทำ ขอให้แน่ใจว่าเธอเผชิญหน้ากับตัวเธอ ไม่ใช่ฉัน และไม่ใช่กับคนที่อยู่ข้างๆเธอ ขอให้เผชิญหน้ากับตัวเธอ : “ฉันกำลังทำอะไรอยู่? ฉันทำถูกต้องไหม? ฉันมีความซื่อสัตย์และจริงใจกับตัวฉันเองจริงๆหรือเปล่า? ฉันกำลังพัฒนาจริงๆไหม?” ขอให้เผชิญหน้ากับตัวเธอ ไม่ใช่เผชิญหน้ากับฉัน ฉันไม่สนใจ แม้ถ้าฉันดุเธอ “อย่าทำแบบนั้น!” ฉันก็ไม่สนใจเพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่ชีวิตของเธอก็คือชีวิตของเธอ เพราะฉะนั้นขอให้ทำมันให้งดงาม อย่านำขยะไปทุกหนแห่งและรบกวนทุกคน การเที่ยวหาความสนใจที่ศูนย์ก็แย่พอๆกันกับการเที่ยวหาความสนใจจากข้างนอก ทั้งหมดมันเป็นความอยากในชื่อเสียงและผลกำไร

เพราะฉะนั้นขอให้ระวัง อย่าเพียงแต่อยู่ที่นั่นไปตลอด พึ่งพาอยู่กับหน้ากากทั้งหลายนี้เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคมนี้ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเลย ร่างกายใดๆก็ไม่มีอะไรเลย เราเพียงแต่อาศัยมันอยู่ชั่วครู่เพื่อเราจะได้บรรลุจุดมุ่งหมายของเรา อย่าทำให้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ไม่มีใครสนใจหรอก ขอเพียงให้ซื่อสัตย์ จริงใจและเป็นของแท้ ขอให้เป็นธรรมชาติ ฉันชอบแบบนั้น!

ยิ่งเธอรับใช้มากเท่าไร เธอก็จะยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น

ปัญหากับพวกเธอบางคนก็คือว่า เธอมาที่นี่และคิดถึงแต่ตัวเธอเอง เธอไม่แคร์บุคคลที่อยู่ข้างๆเธอเสียด้วยซ้ำหรือแคร์ว่าเขาต้องการอะไร เธอไม่คิดถึงใครเลย ซึ่งก็ดีแต่มันเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นมันก็สุดแล้วแต่ : ถ้าเธอมาที่นี่เพื่อจดจ่อในการนั่งสมาธิและในพระเจ้าเท่านั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเธอเพียงแต่พยายามเอาทุกสิ่งให้กับตัวเธอ-ความสนใจจากอาจารย์ ที่นั่งของเพื่อนบำเพ็ญ-เพื่อให้ได้ที่นั่งที่ดีที่สุด และอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

นั่นคือความแตกต่างระหว่างการเอาศูนย์กลางไว้ที่ตัวเรากับความเห็นแก่ตัว การเอาศูนย์กลางไว้ที่ตัวเราหมายความว่าเธอจดจ่อในตัวเธอและเธอนั่งสมาธิ นั่นเป็นสิ่งที่ดี และเธอไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่สนใจคำนินทาหรือสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าเธอเห็นแก่ตัว เธอต้องการเอาทุกอย่างให้กับตัวเธอ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมากสำหรับเธอ แม้กระทั่งเมื่อเธอมาที่นี่เธอก็จะไม่ได้อะไรเลย จริงๆแล้วเธออาจจะเสียคะแนน เพราะว่าความเห็นแก่ตัวทำให้เธอเสียคะแนนเสมอ ทุกครั้งที่เธอมุ่งพยายามเอาสิ่งต่างๆให้กับตัวเธอคนเดียว เธอจะสูญเสียทุกอย่าง! ในขณะที่ถ้าเธอพยายามรับใช้ผู้อื่นด้วยความรักและด้วยความอุทิศตนอย่างไม่มีเงื่อนไข เธอจะเป็นฝ่ายได้

นั่นเป็นถ้อยคำแดกดันของจักรวาล เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่เธอมอบตัวเธอให้กับผู้อื่นหรือแม้กระทั่งกับคนคนเดียว เธอจะแผ่ขยายมากขึ้น พลังงานของเธอหรือออร่าของเธอจะขยาย อย่างน้อยที่สุดเข้าไปสู่พื้นที่ของบุคคลคนนั้น แต่ทุกๆครั้งที่เธอคิดถึงแต่ตัวเธอเองว่า “ฉันต้องการสิ่งนี้”หรือ “ฉันต้องการทั้งหมดนี้ให้กับตัวฉัน” เธอก็จะอยู่ในกรอบของมัน

ยิ่งเธอรับใช้มากเท่าไร เธอก็จะแผ่ขยายมากขึ้นเท่านั้น เธอจะใหญ่ขึ้น! ฉันได้บอกเธอในเรื่องนี้มา 20 ปีแล้ว และเธอก็บอกว่าเธอรู้ : “ใช่ นั่นเป็นเรื่องที่ดี ท่านอาจารย์ท่านพูดได้ดีมาก” แต่ถ้าเธอไม่แม้กระทั่งเข้าใจและไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ฉันบอกเธอ มันก็เป็นการเสียเวลาเปล่า ฉันไม่ได้หมายถึงเธอคนใดเป็นการเฉพาะเจาะจง เราเพียงแค่พูดแบบกว้างๆ แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่ยังคงมีปัญหาในเรื่องความเห็นแก่ตัวและอัตตา ก็ขอให้เลิกมันเสีย!

ยิ่งเธอไขว่คว้ามากเท่าไร เธอก็จะยิ่งเสียมันไปมากเท่านั้น เรื่องนี้เป็นกฎของจักรวาลที่ขัดแย้งกันมาก แต่มันก็เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นขอให้พัฒนาตัวเธอ ทำในสิ่งที่เธอคิดว่าดี และให้พยายามอย่างหนักจริงๆ ฉันรู้ว่าโลกนี้ไม่ปราณีเธอ หลายครั้งที่มันสร้างความเดือดร้อนแก่เธอ และให้อุปสรรคแก่เธอ แม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัวของเธอ แม้กระทั่งคนที่เธอรัก คนที่เธอคิดว่าเข้าใจเธอและใกล้ชิดที่สุดกับเธอก็สร้างความเดือดร้อนตลอดเวลา ฉันเข้าใจในเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงได้บอกเรื่องทั้งหลายนี้แก่เธอซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันไม่ได้โกรธและโยนเธอออกไปเพราะฉันรู้ว่าเธอไม่รู้ ฉันเข้าใจ มันเป็นการยากมากสำหรับเธอที่จะมีชีวิตรอดในโลกนี้ทางด้านจิตวิญญาณ เพราะทุกอย่างพยายามดึงเธอออกไปจากมัน ชั่วขณะที่เธอต้องการนั่งลง แม้กระทั่งสิ่งต่างๆจากเมื่อวานนี้ก็กลับมา มันไม่ใช่ว่าคนที่มากวนใจเธอเมื่อวานแล้วมันก็จะจบลง มันกลับมาหาเธอและมันก็อยู่ไปอีกหลายวัน บางครั้งหัวใจก็ปวดร้าวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ บางครั้งหลายเดือน บางครั้งหลายปี

เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แค่เพียงว่าบางคนทำร้ายจิตใจเธอเมื่อวานนี้หรือเมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วเธอก็ทุกข์ 1 สัปดาห์หรือ 1 วัน แล้วก็พอแล้ว! ไม่ มันกลับมาหาเธอตลอดเวลา แทงหัวใจของเธอ และเธอพยายามที่จะเอาสมาธิจดจ่อที่ตรงนี้(ท่านอาจารย์ชี้ไปที่ตาปัญญา) เพื่อคิดถึงพระเจ้าและคิดในด้านบวก แต่มันก็ยากมาก ฉันรู้เรื่องนั้น เพราะฉะนั้นขอให้พยายาม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความพยายามของเธอจะเกิดผลเพราะว่าสวรรค์ทราบ

การวิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถนำมาซึ่งความสมานฉันท์สากล

ในกรณีที่เธอมีปัญหา เธอก็ถามฉันได้ ถ้าไม่มีก็นั่งสมาธิไป นั่นคือหน้าที่ของเธอ แต่เธอทำมันเพื่อทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น เพื่อขจัดกรรมลิขิตที่เธอควรจะชดใช้ในชาตินี้ ถ้าหากเธอนั่งสมาธิมันก็จะน้อยลงด้วย และมันก็ช่วยยกระดับโลกให้สูงมากขึ้นด้วย มันยังช่วยจักรวาลให้รวมตัวกันและทำให้สิ่งต่างๆสมดุล เพื่อว่าโลกของเราจะไม่สูงเกินไป และโลกอื่นๆจะไม่ต่ำเกินไป มิฉะนั้นแล้วเราก็จะมีสงครามระหว่างดาวเคราะห์

สงครามระหว่างดาวเคราะห์เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดาวเคราะห์ต่างๆมีความแตกต่างกันมากในความถี่ พูดทางด้านจิตวิญญาณนะ ทำให้พวกเขาทำสงครามกัน เพราะฉะนั้นการจะมีสันติภาพเราจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำให้บรรยากาศมีความสงบสุข เพราะแม้ว่าโลกดวงนี้อาจจะมีสันติภาพ แต่ถ้าหากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆไม่มีความสงบสุข เธอก็จะยังมีสงครามอยู่ดี ไม่ใช่สงครามในโลกใบนี้ แต่เป็นสงครามระหว่างดาวเคราะห์

โลกนี้เคยถูกทำลายล้างมาก่อน โลกนี้ได้เคยถึงระดับหนึ่งแห่งความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่สูงมาก แต่เนื่องจากคนรู้มากเกินไป และด้านจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้พัฒนา พวกเขาจึงทำสงครามกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆก็ทำสงครามกับพวกเขา สิ่งต่างๆมากมายจึงได้ถูกทำลายไป

เราเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่านี้ เรากำลังกลับไปสู่ ณ.จุดนั้นในขณะนี้ เรากำลังกลับไป แต่ถ้าเราไม่ทำให้ความรู้ของเราสมดุลกับปัญญา และถ้าเราไม่ทำให้การได้มาซึ่งวัตถุสมดุลกับความสำเร็จทางจิตวิญญาณ เราจะทำลายล้างไม่เพียงเฉพาะโลกของเราเท่านั้น แต่ทำลายดาวเคราะห์ดวงอื่นๆด้วยเช่นกัน ดาวเคราะห์มากมายได้ถูกทำลายลงเพราะสาเหตุนี้ ถ้าเรามีความรู้ทางสติปัญญามากเกินไป แต่ไม่มีปัญญาทางจิตวิญญาณ เราก็จะมีสงครามซึ่งกันและกัน

ขณะนี้เป็นศตวรรษที่ 21 ของโลกนี้ ศตวรรษที่ 21 นับตั้งแต่ช่วงเวลาของพระเยซู แต่โลกใบนี้ดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนานก่อนหน้านั้นเสียอีก และเราก็ยังคงทำสงครามกันอยู่! เธอจินตนาการออกไหม? อย่างกับพวกคนป่าเถื่อน! เราเรียกตัวเราว่าเป็นมนุษย์ แต่เราก็ยังเข่นฆ่ามนุษย์คนอื่นๆโดยไม่มีความเสียใจ และเราเรียกสิ่งนั้นว่า “ความเจริญ” ในขณะนี้เราก็ยังคงเข่นฆ่าซึ่งกันและกันเหมือนกับในช่วงยุคหิน เราเรียกคนพวกนั้นว่ามนุษย์ยุคหิน ล้าหลังและป่าเถื่อน แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่ได้ฆ่ากันอย่างมโหฬารแบบนี้! เพราะฉะนั้นความเจริญทางวัตถุไม่ได้ให้ความสุขสบายหรือสันติภาพใดๆแก่เรา เฉพาะการบรรลุทางจิตวิญญาณเท่านั้นที่ให้ได้ เธอสามารถเห็นเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเธอเอง