มังสวิรัติ

  คือ นโยบาย

  ที่ดีที่สุด

 

 

อาจารย์กล่าว

 

 

 

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
วันที่ 30 มิถุนายน 2537 แคลิฟรอเนีย สหรัฐอเมริกา
วีดิทัศน์ #437 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

โลกนี้ไม่ใช่ของเราคนเดียว มันเป็นของทุกสรรพสิ่ง แต่คนจำนวนมากไม่อยากแบ่งปัน ความจริงแล้ว โลกนี้เป็นของทุก ๆ คน รวมถึงเป็นของสัตว์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงดำเนินนโยบายมังสวิรัติ เพราะโลกนี้เกิดขึ้นมาจากความคิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี้ เราต้องการสถานที่แห่งนี้ มันจึงดำรงอยู่ รวมไปถึงสัตว์ต่าง ๆ ด้วย แต่เมื่อเรามาสู่โลกนี้ เราก็คิดว่า มันเป็นของเรา

ทุกคนคิดว่า มันเป็นของพวกเขา ดังนั้น เราจึงเริ่มต้นกำจัด “ผู้แปลกหน้า” คนอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น พวกผิวแดงกำจัดพวกผิวขาว และพวกผิวขาวกำจัดพวกผิวดำ แล้วพวกผิวดำ ผิวขาว และผิวเหลือง ก็กำจัดสัตว์

เราลืมไปว่า เราเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่ใช่เจ้าของแต่เพียงผู้เดียวของโลกนี้ เหตุนี้ เราจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ และไม่ควรกินพวกมัน และแน่นอน ไม่ควรฆ่าสรรพสัตว์ใด ๆ แต่บางครั้ง ในนามของการเมือง ความรักชาติหรือศาสนา เราก็ฆ่า และเราอ้างเหตุแห่งการฆ่าของเราด้วยข้อแก้ตัวที่สวยงาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะวันนี้เราฆ่า ชาติหน้าเราก็จะถูกฆ่า ดังนั้น สงครามจึงดำเนินต่อไปอยู่เสมอในโลกเรา เราสงสัยเสมอว่าทำไม แต่ไม่มีอะไรต้องสงสัย เมื่อเราหว่านอะไรไป เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของมัน แม้กระทั่งไบเบิ้ล ก็มีกล่าวเช่นนั้น หว่านอะไร ก็ได้ผลเช่นนั้น

สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความทุกข์เดือดร้อนจากผลของสงครามหรือความขัดแย้งใด ๆ ก็หมายความว่า เราไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง ถ้าเราทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ แม้ถ้าเราไม่ได้บำเพ็ญสมาธิใด ๆ แม้เราไม่ได้บูชาพระเจ้าในแบบที่เป็นทางการหรือแบบ 'ลงทะเบียน' เราก็จะเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ที่มีความปลอดภัยและมีสุขภาพดี เพราะเราไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลาย สงครามหรือความรุนแรง อันที่จริง ฉันรู้สึกว่า ทุกคนมีปัญญาของตนเองอยู่ภายในอยู่แล้ว ดังนั้น เราอาจจะย้ำเตือนซึ่งกันและกัน แต่ไม่จำเป็นต้องสอนหรือพูดมากเกินไปนัก

เนื่องจากเราอยู่ติดกับบ้านมังสวิรัติ (อาจารย์หมายถึงบ้านมังสวิรัติของสมาคมอนุตราจารย์ชิงไห่นานาชาติในซานโฮเซ่) เราก็สามารถจำนโยบายมังสวิรัติได้ด้วย ทำไมมันจึงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด? เพราะว่า ถ้าเราสามารถย้ำเตือนซึ่งกันและกันไม่ให้ฆ่าสัตว์ แน่นอน เราจะฆ่ามนุษย์ได้อย่างไร? สงครามก็จะกำจัดตัวมันเองจากรากเหง้า นั่นคือหลักการ และฉันคิดว่า เรามีความหวัง! เพราะว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทั่งในอเมริกา การเป็นมังสวิรัติก็กำลังเป็นที่นิยม ฉันรู้จักลูกสาวเจ้าของโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทเป เขาเป็นมะเร็ง ทั้งครอบครัวรู้เรื่องนั้น และเขาเองก็รู้ ทั้งครอบครัวรู้ด้วยว่า เขาไม่ควรกินเนื้อสัตว์ หมอบอกพวกเขาว่า เขาไม่ควรกินเนื้อสัตว์ ตลกนะ ที่ว่าทำไมตอนนี้ที่เขาเป็นมะเร็ง เขาจึงกินเนื้อสัตว์ไม่ได้? เขาไม่ควรกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่ต้นแล้ว! บางทีสิ่งที่ฉันสอน อาจจะถูกต้อง ตกลงตอนนี้เขาก็รู้ว่า เขาไม่ควรกินเนื้อสัตว์ และหมอสั่งอาหารที่มี “เนื้อสัตว์น้อยลง” ให้เขา แต่เขาอดกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ และเขาก็ทุกข์ทรมาน แต่ยังคงกินสเต็กเนื้อวัวอยู่หรืออะไรก็ตาม ที่เขาชอบ

ดังนั้น มันไม่ง่ายนัก ที่คนจะเป็นมังสวิรัติ เพียงแค่เขาห่วงเรื่องสุขภาพของเขา ฉันไม่เชื่อเช่นนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างภายใน มันเป็นเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ลึกที่สุดแห่งดวงวิญญาณ ของจิตวิญญาณที่ย้ำเตือนบุคคล และพูดจากภายใน “นั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเธอ สิ่งนี้มีความกลมกลืนมากกว่า มันมีสันติสุขมากกว่าสำหรับโลก และเธอมีส่วนช่วยให้เกิดสันติภาพในโลกนี้ ด้วยการดำเนินนโยบายมังสวิรัติ” ดังนั้น บุคคลนั้นก็จะฟังเสียงฝ่ายนั้น

มันไม่ใช่เรื่องสุขภาพ ฉันมีเพื่อนมากมายที่ไม่ใช่มังสวิรัติ และฉันไม่เคยเลย ที่จะบังคับ ผลักดัน หรือพูดเป็นนัย ๆ ว่า พวกเขาควรทำตามฉัน หรือกินอาหารมังสวิรัติ ไม่จริง-ไม่เคย! ความรักของฉันที่มีต่อผู้คน เป็นแบบไร้เงื่อนไขเสมอ เพราะฉันรู้สึกว่า ความรักอันไร้เงื่อนไขเท่านั้น เป็นสิ่งที่สูงส่งที่สุด มันไม่สำคัญว่า จะเป็นด้วยเหตุผลหรือจุดมุ่งหมายใด ใจฉันรับได้เฉพาะความรักอันไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น (ผู้ฟังปรบมือ) ฉันไม่ได้หมายความที่จะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับคนที่ไม่ใช่มังสวิรัติ มันไม่จริง ฉันแค่พูดความจริงเท่านั้น ฉันมีเพื่อนดี ๆ มากมาย ซึ่งไม่เป็นมังสวิรัติเหมือนกัน ฉันไม่เคยพยายาม หรือคิดที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขา เพื่อนบางคนถามฉันว่า “ทำไม?” ฉันตอบว่า “มันเป็นชีวิตของเธอ มันเป็นวิญญาณของเธอ มันเป็นวิถีชีวิตของเธอ เธอรับผิดชอบ ในสิ่งที่เธอต้องการเป็น ฉันไม่ใช่ผู้รับผิดชอบ”

เพราะฉะนั้น เธอก็ทำ ในสิ่งที่เธอต้องการ อะไรที่มาจากใจของเธอ ก็เป็นสิ่งที่ดี ฉันไม่จำเป็นต้องมาชักจูงเธอ เพราะตัวเธอก็คือพระเจ้า เธอมีพระเจ้าอยู่ภายในตัวเธอ เหมือนที่ฉันมี ไม่จำเป็นต้องบอกเธอว่า จะต้องทำอะไร เว้นแต่เธอถามฉันว่า อะไรดีที่สุดสำหรับเธอ แล้วฉันก็จะบอกเธอ แต่ถ้าเธอไม่ถามฉัน ฉันก็จะไม่บอกอะไร

อะไรที่เราทำ ก็เป็นความรับผิดชอบของเราเอง ไม่จำเป็นต้องโทษใครหรือชื่นชมใคร สำหรับคำตอบ จริง ๆ แล้วไม่จำเป็น แม้กระทั่งการชื่นชมกูรูหรืออาจารย์ ก็จะขัดขวางความก้าวหน้าของเรา ถ้าเธอหาอาจารย์และฟังเรื่องใด ๆ ก็เป็นเพราะเธอมีมันอยู่แล้ว เธอรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เธออาจจะต้องการการยืนยันให้แน่ใจ เพื่อการตัดสินใจที่แข็งแกร่งขึ้น เพราะเมื่อคน 2 คนเห็นพ้องกัน สิ่งต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมารวดเร็วขึ้นและแน่นอนมากขึ้น ก็มีเท่านั้นเอง มิฉะนั้นแล้วหากเธอยังไม่พร้อม หากเธอต้องการเล่นไปเรื่อย ๆ ในโลกนี้ให้นานขึ้น แม้ว่าฉันพยายามชักจูงเธอ มันก็จะไม่ดี ฉันไม่มีวันทำได้หรอก แม้กระทั่งพระเจ้า ก็ไม่สามารถทำได้

เหตุนี้ พระพุทธเจ้าและพระเยซูจึงไม่เคยพยายามอย่างหนัก ทุกคนสรรเสริญพระองค์และพูดว่า “โอ้โฮ พระองค์ได้พยายามอย่างหนักจริง ๆ ในการเปลี่ยนแปลงโลก และชำระล้างบรรยากาศของโลก!” แต่พระองค์ไม่เคยพยายามอย่างนั้น พระองค์เพียงแต่ทำมัน เพราะมันเป็นแบบนั้น และเพราะผู้คนมาหาพวกพระองค์และถาม มีโอกาสเกิดขึ้น และสถานการณ์ก็เอื้ออำนวย ดังนั้น พระองค์ก็เพียงแต่ตรัส หรือไม่ก็บอก ในสิ่งที่พวกเขาถาม หรือในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ยิน หรือสิ่งที่พวกเขารู้กันอยู่แล้ว และเพียงแค่ต้องการการสนับสนุนยืนยัน ก็เท่านั้นเอง พระองค์ไม่เคยพยายาม พระพุทธเจ้าไม่เคยพยายามเปลี่ยนแปลงโลก พระเยซูไม่เคยพยายามเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของผู้คน คนต้องการเปลี่ยนแปลงตัวของพวกเขาเอง และเมื่อคนต้องการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลง

ก็เหมือนคนอเมริกันขณะนี้ พวกเขาเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาต้องการเป็นมังสวิรัติ พวกเขานั่งสมาธิกัน และพวกเขาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย นั่นก็เป็นเพราะว่า พวกเขาต้องการมัน และตอนนี้พวกเขาพร้อมแล้ว พวกเขาได้สร้างประเทศของพวกเขา พวกเขาได้สร้างพื้นฐานของสถาบันอเมริกันอิสระ ตอนนี้พวกเขามีอิสระเสรี มือของพวกเขามีอิสระเสรี และจิตใจของพวกเขาผ่อนคลาย พวกเขาสามารถแสวงหาเจตนาดั้งเดิมของชีวิตพวกเขา ของการเดินทางมายังอเมริกา พวกเขามาที่นี่ก็เพราะเรื่องทางจิตวิญญาณ ดังนั้น ในที่สุด พวกเขาก็จะทำมัน ก็เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เราก็แค่สนุกไปกับชีวิต! เป็นคนดีและพยายามเป็นมังสวิรัติ ถ้าเราทำได้ ใช้ชีวิตที่เป็นคนดี และสนุกไปกับสิ่งที่พระเจ้าให้เรา เราเป็นเจ้าของบ้าน เราเป็นเจ้าของโลก! เราคิด เราสร้างโลกนี้ด้วยพลังแห่งความคิด (ท่านอาจารย์ชี้ที่ตาปัญญา) ดังนั้น เราจึงสนุกสนานไปกับมัน แต่ขอให้แบ่งปันกัน และไม่ทำลายสมบัติร่วมกันของเรา

ใครที่สงสัยพลังแห่งความคิด ควรจะนึกถึงคนที่มีพลังเวทมนต์ คนคนเดียวในอเมริกา ถึงกับทำให้เทพีสันติภาพหายไป 5 นาที นั่นคือพลังแห่งความคิด เธอสามารถทำให้วัตถุแตกออก หรือละลายกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิมของมัน ก่อนที่มันจะเกิดมาได้ ก็เหมือนอย่างพวกเรา ก่อนที่เราจะมีตัวตน เรามาจากไหน? เราอยู่ที่ต้นกำเนิดดั้งเดิม เราอยู่ที่บ้านของสสาร เราอยู่ในโรงงานของการสร้างในอนาคต ด้วยเหตุนี้ คนจึงสามารถเรียนศิลปะล่องหน ศิลปะการบิน หรือศิลปะการทำให้วัตถุปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาหรือหายไป

ดังนั้น มันจึงง่ายมาก แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ในระดับของความคิดและสติปัญญา มีระดับที่สูงกว่าเหนือความคิด เหนือการดำรงอยู่ของจิต ก่อนที่ขบวนการของการคิดและพลังแห่งความคิดจะเกิดขึ้นมา นั่นคือระดับที่สูงกว่า เป็นระดับของพระเจ้า ระดับของพระผู้ทรงพลานุภาพ บ้านดั้งเดิมของทุกสรรพสัตว์ รวมไปถึงวิญญาณของเรา และวิญญาณทั้งหลายของสรรพสัตว์ นั่นคือระดับที่เราสามารถไปถึงด้วยธรรมวิถีแห่งแสงและเสียง ที่เราได้เรียนมาจากอาจารย์โบราณ นี่คือระดับที่สูงกว่า เราสามารถแม้กระทั่งใช้พลังดั้งเดิมนี้ลอยขึ้นไปอยู่เหนือวัตถุธาตุทั้งหลาย เหนือเหตุและผลทั้งหลาย นั่นคือวิธี ที่เราจะกลายเป็นผู้ที่มีอิสระเสรีได้ นั่นคือวิธี ที่เราจะก้าวข้ามกรรมไปได้ และนั่นคือสิ่งเดียวเท่านั้น ที่มีค่าควรแก่การแสวงหา