อาจารย์กล่าว  
  จุดสำคัญในการบำเพ็ญ
ให้ก้าวหน้าช้าหรือเร็ว
อนุตราจารย์ชิงไห่ ปราศรัยธรรม
ที่ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา วันที่ 29 ตุลาคม 2531
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) (MP3-CG03)

อาจารย์จะบอกเคล็ดลับกับพวกเธอ ทำไมบางคนบำเพ็ญจึงก้าวหน้าเร็ว บางคนช้า? อยากฟังไหม? (ทุกคนตอบ: อยาก พร้อมปรบมือ) พวกเธอต่างก็ทราบนิทานของมิลาเลปะแล้วใช่ไหม? ถ้าใครยังไม่ทราบ อาจารย์จะเล่าเร็ว ๆ อีกครั้ง

หลังจากที่พ่อของมิลาเลปะตายแล้ว ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ถูกลุงกับป้าหลอกเอาไปหมด เพราะพ่อของเขาขอร้องให้พวกเขามาดูแลภรรยากับลูก แต่แล้วญาติของมิลาเลปะไม่เพียงไม่ดูแลพวกเขา กลับทำให้แม่ลูกกลายเป็นคนงาน ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยาก เสื้อผ้าไม่พอใส่ อาหารไม่พอกิน ทำกับแม่ลูก 2 คนเหมือนกับคนงาน ดังนั้น ทั้งสองจึงมีความแค้นมาก

ต่อมาแม่ของมิละเลปะบอกให้ลูกไปเรียนอิทธิฤทธิ์ดำ จากนั้น เขาใช้อิทธิฤทธิ์ดำฆ่าครอบครัวคุณลุง 30 กว่าคนตายหมด และกรรมเหล่านี้ การบำเพ็ญเพียรของมิลาเลปะเต็มไปด้วยอุปสรรค หลังจากฆ่าคนเหล่านั้นแล้วจึงสำนึกบาปได้ ในใจกลัวมาก อาจารย์ที่สอนอิทธิฤทธิ์ดำก็บอกกับเขาว่า "เจ้าต้องรีบไปหามหาอาจารย์ จึงจะช่วยชีวิตเจ้าได้ เมื่อหาได้แล้ว เจ้าต้องมาช่วยอาจารย์ด้วย มิฉะนั้นแล้ว เราทั้งสองจะต้องตกนรก เพราะการใช้อิทธิฤทธิ์ดำฆ่าคน กรรมมันหนักมาก!"

เมื่อมิลาเลปะได้ฟังเช่นนั้น ก็รีบไปแสวงหามหาอาจารย์ เมื่อพบมหาอาจารย์แล้ว ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร อาจารย์ก็ไม่ยอมสอนวิชาให้เขา ทุกวันเรียกเขาทำงานหนัก ทำจนเหนื่อยมาก บางครั้งอาจารย์ใช้เขาแบกก้อนหินใหญ่ขึ้นไปบนภูเขา แล้วบอกกับเขาว่า "ไม่ได้ แบกกลับไปใหม่" เมื่อเขาขนเสร็จ ก็ใช้เขาขนขึ้นไปใหม่ และใช้เขาสร้างบ้าน แล้วให้รื้อทิ้ง รื้อแล้วใช้ให้เขาสร้างใหม่ ทดลองเขานาน 7 ปี จนในที่สุดจึงยอมสอนเขาบำเพ็ญ

พวกเราฟังมาว่า การได้เห็นมหาอาจารย์ครั้งเดียว ขอเพียงมีความจริงใจ ก็เหมือนกับได้ประทับจิต แล้วทำไมมิลาเลปะอยู่ด้วยกันกับอาจารย์ และทำงานหนักทุกวัน 7 ปีกว่ายังไม่ได้ผลอะไรเลย อาจารย์ของเขาก็ไม่ยอมถ่ายทอดธรรมให้เขาอย่างเป็นทางการ เป็นเพราะเขาได้ทำกรรมหนักไว้

 

ต้องสำนึกบาปอย่างจริงใจจึงจะสามารถล้างกรรมได้

 

พวกเราฟังมาว่า กรรมอะไรก็ไม่เป็นไร ขอเพียงพวกเราสำนึกบาปก็หมดแล้ว แล้วทำไมมิลาเลปะสำนึกบาปแล้ว ยังต้องผ่านไป 7 ปีซึ่งเป็นเวลานาน กรรมของเขาจึงสามารถล้างหมด อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้สำนึกบาปจริง แม้พวกเราจะสำนึกบาป แต่กรรมนี้ก็ยังอยู่ เพราะความสามารถในการสำนึกบาปของพวกเรามันมีน้อย พวกเราคิดว่าตัวเองสำนึกบาปแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

มิลาเลปะยังคิดจะหลอกอาจารย์ ขณะที่อาจารย์ใช้เขาไปทำงาน เขายังคิดบ่นว่าในใจ เขาพูดกับอาจารย์ว่า "เมื่อสักครู่อาจารย์ให้ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ ตอนนี้กลับใช้ให้ข้าพเจ้าขนกลับไป เป็นความคิดอาจารย์หมด!" ต่าง ๆ เป็นต้น เขาไม่ได้ขอบคุณอาจารย์ ยังไปเถียงท่านอีก มิลาเลปะไม่ทราบว่า เขาทำให้อาจารย์ต้องคิดมาก ต้องเป็นคนที่ไร้ความเมตตา ใช้วิธีที่ทุกข์ที่สุดช่วยเขา เพื่อล้างกรรมให้กับเขา พวกเธอเห็นชัดเจนหรือยัง? ถ้าเขาสำนึกบาปจริง ไม่ว่าจะลำบากเพียงไหน จะสามารถเห็นความทุกข์ใจของอาจารย์ เขาจะบอกว่า "กรรมของข้าพเจ้ามันหนักมาก แม้เวลานี้จะทรมานมาก แต่ยังไม่พอชดใช้กรรม ข้าพเจ้ายังไม่ทรมานเท่ากับคนที่ถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย" เขาต้องพูดอย่างนี้จึงจะถูก

แต่เวลานั้นเขาไม่มีความเห็นอย่างนั้น บ่นทุกวัน "ทำไมอาจารย์ไม่ถ่ายทอดธรรมให้ข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าดีกับอาจารย์มาก ทำไมอาจารย์ไม่ยอมดีกับข้าพเจ้า?" ต่อมาคิดจะหลอกอาจารย์ โดยผ่านภรรยาและลูกศิษย์ของอาจารย์ คิดจะได้ธรรมมะ เขาไปหลอกลูกศิษย์อาจารย์ว่า "อาจารย์ให้พี่ถ่ายทอดธรรมให้ข้าพเจ้า" แสดงว่าเขายังมีตัวอัตตาอยู่ คิดว่าอาจารย์ไม่ดีกับ "ข้าพเจ้า"

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะว่าคนที่ฆ่าคนได้มีใจที่เย็นชามาก เมื่อฆ่าคนแล้วก็ลืมไปว่าพวกเขามีกรรมหนักมาก ใจเย็นชาจึงฆ่าคนได้มากมายเช่นนั้น คนที่มีใจเย็นชาบำเพ็ญไปก็ก้าวหน้ายาก เพราะมี(ความเย็น)อยู่รอบตัวเขา บรรยากาศเย็นเหล่านี้มันจะดึงดูดกัน ถ้าพวกเรามีใจที่เย็นชา จะไม่สามารถดูดความรักที่อบอุ่นมาอยู่รอบตัวพวกเรา พวกเราบำเพ็ญจึงช้ามาก ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า "สิ่งที่ยากที่สุดคือต้องเชื่อฟังอาจารย์ทั้งหมด ยอมรับคำแนะนำจากอาจารย์ทั้งหมด"

อาจารย์พูด 1 ก็ต้องทำ 1 เรื่องนี้คนที่ทำได้น้อยมาก พวกเธอแม้ว่าภายนอกจะไม่ต่อสู้ ภายในก็จะต่อสู้ ในใจจะคิดว่า "อาจารย์พูดอย่างนั้น อย่างนี้ทุกวัน ข้าพเจ้าคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ท่านก็ยังให้ข้าพเจ้าทำ" หรือคิดว่า "อาจารย์เป็นผู้หญิง และอายุน้อย อาจารย์ไม่รู้เรื่อง เรื่องอย่างนั้นท่านเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน?" พวกเธอส่วนมากจะคิดเช่นนี้ ภายในใจจะต่อสู่เช่นนี้เสมอ ดังนั้น จึงก้าวหน้ายาก เพราะไม่สามารถกลับตัวเป็นเด็กได้ ไม่สามารถไร้เดียงสาเหมือนเด็ก คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า "พวกเธอต้องกลับเป็นเด็ก ๆ จึงจะมีสวรรค์ได้" เหลาจื่อกล่าวว่า "พวกเราต้องกลับตัวเป็นเด็กจึงจะบรรลุธรรม" แม้ว่าพวกเขาจะพูดต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกัน

ดังนั้น อาจารย์จึงบอกพวกเธอว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ถือศีลให้ครบถ้วน แม้พวกเราจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนเย็นชา ก็ควรควบคุมตัวเอง ไม่ใช่ว่าเย็นชาก็ปล่อยมันเป็นไป แต่พวกเราควบคุมได้ แม้พวกเราจะเป็นคนเย็นชา แต่ไม่ได้ทำเรื่องเย็นชา ถ้าเป็นเช่นนี้สนามแม่เหล็กของพวกเราก็ยังไม่เย็นนัก ไม่ไปดูดบรรยากาศแบบช้า ๆ เย็น ๆ ติดขัด ปิดกั้นมา พวกเราควรจะทราบว่า สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน

พวกเราไปสร้างกรรมแล้วสำนึกบาปแล้วก็พอ เพราะพฤติกรรม ความคิด การกระทำ จิตของพวกเราจะเกาะติดอยู่กับสนามแม่เหล็กของพวกเรา เมื่อจิตส่งความคิดเช่นนี้ออกไป ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้ ช้าหรือเร็วมันจะหาทางออกจนได้ ดังนั้น ทางที่ดีพวกเราจงอย่าสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก สำหรับกรรมเก่า อาจารย์จะช่วยล้างให้สะอาด ถ้าสร้างกรรมใหม่ พวกเธอก็จัดการเอง เพราะว่าตัวเองเข้าใจแล้วยังไปทำอีก กรรมนี้มันต่างกับอดีตที่ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการ

ดังนั้น ต้องถือศีลให้ครบทุกข้อ ไม่ว่าพวกเราไปฆ่าสัตว์ชนิดใดหรือไปทำร้ายคน ความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ ช้าหรือเร็วจะกลับมาสู่พวกเราเอง ทำร้ายตัวเราเอง แต่พวกเราสามารถใช้วิธีมาชดใช้ความผิดของพวกเรา ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น เช่น ในอดีตพวกเราไปฆ่าใคร เวลานี้พวกเราต้องไปช่วยคน หรืออดีตพวกเราไม่รักเด็ก เวลานี้ไปพาเด็กมาเลี้ยง ทำเช่นนี้สามารถชดเชยความผิดของพวกเราได้บ้าง

เพราะภายในของพวกเรายังมีความละอายต่อบาป พวกเราไม่สามารถสำนึกบาปจนไม่มีความละอายต่อบาปได้ ไม่ว่าพวกเราจะสำนึกบาปอย่างไร จะต้องมีความละอายต่อบาปอย่างแน่นอน ความละอายต่อบาปนี้จะอยู่ในสนามแม่เหล็กของพวกเรา จากนั้น พวกเราก็จะไม่สามารถหนีบาปที่มีอยู่ในใจของพวกเรา เรียกว่ากรรม มันทำให้พวกเราก่อนตายไม่สามารถจากไปอย่างสงบ เพราะสนามแม่เหล็กของพวกเราจะดึงดูดพวกเราไปยังสถานที่ที่มีบรรยากาศเหมาะสมกับพวกเรา ดังนั้น บางคนจึงตกนรก บางคนขึ้นสวรรค์ เป็นเพราะเหมือนกันก็ดึงดูดกัน

 

เคล็ดลับในการบำเพ็ญให้ก้าวหน้า

 

ทำไมคนที่บริสุทธิ์และใจดี จึงบำเพ็ญก้าวหน้าเร็ว? เพราะคนที่บริสุทธิ์จะไม่โต้เถียงมาก เขาไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร คนเหล่านี้จะก้าวหน้าเร็ว เหมือนกับเด็ก ๆ เชื่อฟังอาจารย์ทุกอย่าง ไม่มีความสงสัยเลย พวกเราที่นี่มีคนหลายคนที่เป็นอย่างนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงก้าวหน้าเร็ว ดูภายนอกของพวกเขาไม่มีอะไรพิเศษ แต่เขาชอบอาจารย์มากที่สุด เชื่อฟังอาจารย์มากที่สุด รักและหวงแหนอาจารย์มากที่สุด อาจารย์สอนอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น เขาภายในไม่สงสัย ภายนอกก็ไม่ต่อต้าน พวกเธอมองดูคนเหล่านั้นก็จะเข้าใจ พวกเขาก้าวหน้าเร็วมาก

บางคนมองดูภายนอกเหมือนคนสอนง่าย เหมือนกับเคารพอาจารย์มาก แต่อีกสักระยะหนึ่งเธอลองไปคุยกันมากหน่อย ก็จะทราบว่าอัตตาของเขาใหญ่มาก ไม่ได้เชื่อฟังอาจารย์ทุกอย่าง บางครั้งตัวเขาเองจะพูดออกมาเอง พวกเธอต้องรู้จักคนมากกว่านี้หน่อย จึงจะทราบว่าใครบ้างที่เข้าใจคำสอนของอาจารย์อย่างแท้จริง ใครบ้างที่เชื่อฟังอาจารย์จริง ๆ มองดูภายนอกไม่สามารถตัดสินได้

พวกเธอก้าวหน้าเร็วหรือช้า ไม่ใช่จะมาพึ่งอาจารย์คนเดียว ต้องดูตัวเธอเองว่ามีปฏิกิริยาต่ออาจารย์อย่างไร พวกเธอเชื่ออาจารย์มากน้อยแค่ไหน ให้การตอบสนองมากหรือน้อย พวกเธอก็จะก้าวหน้ามากหรือน้อย อาจารย์บอกเคล็ดลับในการก้าวหน้าให้กับพวกเธอ พวกเธออย่าไปบอกใคร(ทุกคนหัวเราะและปรบมือ) พวกเราบำเพ็ญก้าวหน้าหรือไม่ ต้องดูใจของพวกเราว่าบริสุทธิ์หรือไม่ บางครั้งพวกเราชอบเป็นคนบริสุทธิ์ แต่ไม่สามารถบริสุทธิ์ได้ เป็นเพราะในอดีตไปสร้างกรรมเย็นชา ดังนั้น พอเวลานี้พวกเรามาที่นี่ ถูกกำแพงที่เย็นชานี้ปิดกั้นอยู่ข้างหน้า ไม่สามารถเชื่อฟังอาจารย์ทั้งหมด ไม่สามารถถวายกาย วาจา ใจของพวกเรา

บางคนบำเพ็ญด้วยความลำบาก มองดูก็ขยันดี นั่งสมาธิทุกวัน ๆ ละ 4-5 ชั่วโมง แต่ใจของพวกเขายังยึดติดกับทางโลกอยู่ ยังคิดแต่เรื่องลาภยศ ดังนั้น คนเหล่านั้นไม่ก้าวหน้า อาจต้องมาเกิดอีกครั้ง เพราะเขายังคิดแต่ทางโลก ยังคิดจะอยู่ต่อไป สำหรับคนเหล่านั้น อาจารย์ต้องจัดให้พวกเขามาเกิดอีกครั้ง ไปเรียนกับมหาอาจารย์อีกคน จากนั้น จึงจะก้าวหน้าได้ ที่นี่มีเพื่อนบำเพ็ญบางคน อดีตชาติเคยเรียนธรรมวิถีกวนอิมมาก่อน แต่เรียนเพียงครึ่งเดียว ยังอาลัยทางโลก หรือมีความจริงใจไม่พอ สงสัยอาจารย์ ดังนั้น จึงต้องมาใหม่

เหมือนกับนิทานที่อาจารย์เล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งเขาเขียนจดหมายถึงอาจารย์ เขาบอกว่าหลังจากประทับจิตแล้ว เขาอธิษฐานขอให้อาจารย์ช่วย ท่องชื่ออาจารย์ทุกวัน เชื่อฟังอาจารย์อย่างจริงจัง เพียง 2 เดือนเท่านั้น ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เร็วมาก เวลานั่งสมาธิสามารถขึ้นไปอยู่สถานที่สว่างสุด แต่แล้วก็มีความสงสัยเกิดขึ้น เพราะเขานึกถึงคำพูดของอาจารย์เก่าพูดว่า การบำเพ็ญถ้าหากจิตหยางจิตหยินออกจากร่าง มารจะเข้าได้ ดังนั้น จึงสงสัยคำสอนของอาจารย์ขึ้นมา สงสัยบำเพ็ญวิถีผิด ในที่สุดอันดับชั้นตกลงมาทันที ไม่สามารถยกขึ้นไปได้อีก จะเห็นได้ว่ามารทำความยุ่งยากให้กับพวกเรามาก

บางคนรู้มาก เรียนธรรมวิถีมากไป ก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้ ความรู้กับปัญญามันต่างกัน พวกเรายิ่งมีความรู้ ปัญญาก็จะมีน้อยลง ฉะนั้น คนที่บริสุทธิ์ท่าทางโง่ ๆบำเพ็ญจะก้าวหน้าเร็วกว่า แต่ว่าเมื่อก้าวหน้าแล้ว ต้องระมัดระวัง อย่าถอยหลังอีก อย่าได้อวดเก่ง อย่าไปบอกให้ใครทราบ ถ้าไปบอกให้คนอื่นรู้ เพื่อให้คนคิดว่าเธอเป็นคนเก่ง ทำเช่นนี้เธอจบแห่ อันดับชั้นจะตกลงมาทันที ดังนั้น อาจารย์ไม่อนุญาตให้ทุกคนเล่าประสบการณ์ เพราะถ้าพูดออกมาแล้ว ยากนักที่จะไม่เกิดความอวดเก่ง ทุกคนต่างมาชมเชย แล้วจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองวิเศษ คนอื่นไม่มีประสบการณ์ที่ดี เป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความยุ่ง

 

ความเชื่อมั่นเป็นบ่อเกิดแห่งกุศลของทุกธรรมวิถี

 

ถ้าสามารถสยบกับพลังของอาจารย์ทั้งหมด เชื่อฟังอาจารย์เต็มร้อย ก็จะก้าวหน้าเร็วมาก ที่นี่มีคนชนิดนี้หรือเปล่า? ถ้ามี เป็นเรื่องที่หายากมาก การบำเพ็ญจะก้าวหน้าเร็วมาก บางคนมาเยี่ยมอาจารย์ทุกครั้ง ไปฟังการปราศรัยธรรมบ้าง วันสุดสัปดาห์ก็มากางเต๊นท์อยู่ที่ศูนย์ แต่คนเหล่านั้นไม่เชื่ออาจารย์จริง พวกเขาอาจจะเชื่ออย่างเสียไม่ได้ เช่น คิดว่าไม่ไปเยี่ยมอาจารย์ก็น่าเกลียดอยู่บ้านก็เหงา สามีหรือภรรยาก็ไปที่อื่น อยู่บ้านคนเดียวไร้สาระ ดังนั้นก็มาอยู่กับเขาบ้าง

แต่อย่างนี้ก็มีประโยชน์ มาที่นี่ฟังสักคำสองคำก็รู้แจ้งได้ ค่อย ๆ ถูกเพื่อนบำเพ็ญกล่มเกลา ฉะนั้นจึงบอกว่าสมาธิกลุ่มมีประโยชน์ ถ้าพวกเราบำเพ็ญคนเดียวมันไม่ง่าย บางครั้งอาจท้อถอย เพราะพวกเราไม่ทราบว่าตัวเองมีกรรมหนัก

อาจารย์ในโบราณไม่ยอมสอนคนมากมาย เพราะเกรงว่าไม่มีเวลาดูแลลูกศิษย์มากมาย เวลานี้คนมีเทปบันทึกเสียง วีดีโอเทปของอาจารย์ ยังไม่เชื่อฟังอาจารย์ แล้วคนในอดีตเห็นอาจารย์เพียงครั้ง 2 ครั้ง ฟังการปราศรัยธรรมจากท่านเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น ไม่สามารถบันทึกคำพูดของอาจารย์ได้มากนัก จดไปก็เลอะ ๆ เทอะ ๆ ยุ่งไปหมด บางครั้งแม้แต่ตัวเองยังอ่านไม่ออก ตัวหนังสือก็เขียนผิดด้วย กลับไปอ่านมั่ว ๆ ไม่สามารถสนับสนุนให้กำลังใจตัวเองได้ ดังนั้น ในอดีตที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมอย่างเปิดเผย มี 5,000 คน ไม่ฟังแล้วเดินจากไป เพราะไม่เชื่อคำสอนที่เป็นธรรมวิถีสูงสุดของพระองค์ พวกเขาคิดว่าตัวเองรู้ทั้งหมด ยังมีธรรมวิถีสูงสุดต้องเรียนอีกหรือ! คนเหล่านี้เป็นพระ แม่ชีในอดีต ไม่ใช่มีแต่ฆราวาสเท่านั้น

จะเห็นได้ว่าแต่ละสมัยก็เหมือนกัน สัจธรรมเข้าใจยาก เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีมัดพวกเราไว้แน่นมาก พวกเรามองดูมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนเคยชินแล้ว พอมาพบกับอาจารย์ เชื่อยากมาก

ในยุคนี้ก็ไม่เลว มีเทปบันทึกเสียงให้พวกเราค่อย ๆ ฟัง ถ้าวันนี้อาจารย์พูดเร็วไป หรือพวกเธอมองดูตาจนเคลิ้มไป ฟังอะไรก็ฟังไม่เข้า กลับไปฟังอีกครั้งได้ ใจของพวกเราต้องเหมือนกับเด็ก ๆ บริสุทธิ์มาก ยอมรับง่าย การบำเพ็ญจึงจะก้าวหน้าได้เร็ว มิฉะนั้นแล้ว อาจารย์ก็ไม่สามารถดันพวกเธอไปได้ ได้แต่ยืนคอยอยู่ข้าง ๆ

แต่ว่าถึงแม้พวกเธอไม่เชื่อฟังอาจารย์ หรือไม่สามารถสำนึกบาปได้อย่างแท้จริง ก็ต้องพยายามทำ พยายามจนสุดความสามารถ ก็จะได้ผลเหมือนกัน เหมือนกับมิลาเลปะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนหัวแข็ง ใจก็ยังเย็นชา แต่พอ 7 ปีผ่านไปก็ยังได้ผล พวกเราอาจจะช้ากว่าเขา มากที่สุด 10 ปี พวกเราให้เวลาตัวเองได้ ค่อยทีค่อยไป แม้จะต้องใช้เวลาถึง 20 ปี ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่ได้ผลอะไรเลย

 

ปล่อยวางพิธีรีตองภายนอก จึงจะก้าวหน้าเร็วขึ้น

 

แม้ว่าบางคนจะก้าวหน้าช้า บางคนก้าวหน้าเร็ว แต่ว่าพวกเราต้องพยายามอย่างเต็มที่ แม้จะเรียนกับอาจารย์แล้ว ก็ต้องเรียนต่อไป ไปหาธรรมวิถีอื่นก็เหมือนกัน ถ้าบำเพ็ญไม่ดี เกิดครั้งต่อไปต้องมาท่องพระอมิตพุทธมันช่างไร้สาระ ทำวัดเช้าวัดเย็นก็ไม่มีอะไร ถ้าต้องการจะสวดมนต์เช้าเย็นก็ทำได้ เมื่อท่องจบก็นั่งสมาธิ หรือถ้าจะไหว้พระอิฐพระปูน แต่ว่าไหว้เสร็จแล้วก็ต้องนั่งสมาธิ

แต่ว่าพวกเราควรอยู่ห่างพิธีเหล่านั้นจะดีที่สุด เพราะถ้าพวกเราจะไปเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่ควรอาลัยอาวรณ์ชั้นประถม อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี สิ่งเหล่านั้นมันดีสำหรับเด็ก ๆ เช่น จุกนมมีประโยชน์กับเด็กและทารก พวกเราจะไปบอกว่าไม่มีประโยชน์เลยไม่ได้ ที่ว่าไม่มีประโยชน์หมายถึงสำหรับผู้ใหญ่แล้วไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีใครต้องการสวดมนต์ ไหว้พระ แล้วทำไมจึงมีคนมากมายทำเช่นนี้? ถ้าไม่ต้องการจุกนม ทำไมเด็กที่ร้องไห้เสียงดัง เอาจุกนมใส่ปากแกก็จะหยุดร้องทันที? นั่นแสดงว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ยังต้องการจุกนม แต่เป็นเพราะพวกเราโตแล้ว ไม่ควรไปใช้จุกนมอีก ถ้าโตแล้วยังใช้จุกนมก็จะดูน่าเกลียด

ดังนั้น อาจารย์จึงเสนอให้พวกเธออย่าไปไหว้พระอิฐพระปูน พวกเราควรจะรีบออกจากพิธีภายนอกเหล่านั้น จึงจะก้าวหน้าเร็ว ถ้าไม่สามารถปล่อยวางได้ ก็ไหว้ไป นั่งสมาธิไปด้วย แต่อย่าไปใช้เวลาไหว้พระจนไม่มีเวลานั่งสมาธิ มันไม่ดีสำหรับพวกเรา ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ คนอื่นเรียนจบมหาวิทยาลัย พวกเรายังอยู่ที่ชั้นประถม เวลานี้เมื่อพวกเรามาเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ควรเรียนแต่วิชามหาวิทยาลัยอย่างเดียว อย่าไปอาลัยชั้นประถมอีก

ถ้าพวกเรามีปัญหาอะไร ขอเพียงนั่งสมาธิให้มาก ต่อไปตัวเองก็จะได้รับคำตอบ และเป็นคำตอบที่ดีที่สุด หนังสืออาจารย์ก็ต้องอ่านให้มาก เพราะพวกเธอยังไม่ได้เข้าใจความหมายในหนังสือได้ทั้งหมด อ่านมากก็จะเข้าใจมากขึ้น ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจ สามารถค้นพบสิ่งใหม่ ๆ