อาจารย์เล่านิทาน

เรื่องของ ห่านทองคำ
 

ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ฌาน 7 วันนานาชาติในกัมพูชา
วันที่ 13 พฤษภาคม 2539 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #546

นี่เป็นเรื่องของห่านทองคำ และฉันสงสัยว่ามันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้า

นานมาแล้ว มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า พหุพุทธคา ชื่อนี้แปลว่า “พ่อของลูกจำนวนมาก” พระราชินีของพระองค์คือ เขมา ทั้งสองพระองค์ปกครองเมืองเบนาเรส เบนาเรสเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เมืองหนึ่งในอินเดีย

วันหนึ่งพระราชินีเขมาได้ฝันถึงห่านทองคำซึ่งพูดด้วยปัญญาของนักปราชญ์ พระนางจึงบอกกษัตริย์ว่า อยากเห็นและได้ยินห่านที่น่าอัศจรรย์นี้อย่างยิ่ง กษัตริย์ก็ได้ไต่ถามและได้รับการตอบว่า มีห่านทองคำเช่นนั้นจริง แต่มันหายากและพบได้ไม่ง่ายนัก มีคนบอกพระองค์ว่า มันยากมากที่จะพบห่านชนิดนี้ในอาณาจักรของพระองค์ แต่ถึงอย่างไรมันก็มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น ข้าราชบริพารของกษัตริย์จึงถูกส่งออกไปค้นหาห่าน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ใกล้ทะเลสาบ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลมาก

นอกจากนี้ยังได้ว่าจ้างนายพรานตามหาห่านทองคำและนำกลับมายังเบนาเรสด้วย คนจำนวนมากยังได้แนะนำกษัตริย์ให้สร้างทะเลสาบไว้ใกล้ ๆ เมือง เพื่อว่าอาจจะดึงดูดห่านให้บินมาอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้

ในเวลานั้นมีห่านจำนวนมากที่อาศัยอยู่ ณ ภูเขาซัตตาคูต้า กษัตริย์ของพวกมันมีนามว่า ธาทารัตถะ และกษัตริย์ห่านที่ชื่อธาทารัตถะนี้ก็เป็นห่านที่สวยงามมาก มีขนสีทองอร่าม ว้าว...(ท่านอาจารย์ล้อเล่น) มันกำลังเชื้อเชิญความยุ่งยาก!

ในระหว่างนั้นได้มีการสร้างทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้ ๆ เมืองเบนาเรส และกษัตริย์ได้ตั้งชื่อทะเลสาบว่า เขมา ตามพระนามของราชินี ได้มีการปลูกต้นไม้ที่ให้ดอก ดอกไม้ และพืชพันธุ์ที่งดงามหายากรอบ ๆ ทะเลสาบ นอกจากนี้ก็ยังปลูกดอกลิลลี่น้ำ ดอกบัว ผัก และดอกไม้น้ำบางชนิดไว้ในทะเลสาบด้วย และทุก ๆ วันผู้คนก็จะมาโปรยข้าวโพดและธัญพืชเพื่อดึงดูดนกและอะไรแบบนั้น จากนั้นพนักงานถือสานส์ของกษัตริย์ก็จะตะโกนเสียงดังมากว่า “กษัตริย์แห่งเบนาเรสขอต้อนรับนกทุกตัวให้มาอาศัยอย่างสงบสุขในทะเลสาบอันงดงามนี้! พวกมันจะได้รับการคุ้มครองจากอันตรายโดยคำสั่งของกษัตริย์และข้าราชบริพารของกษัตริย์”

ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงห่านป่า ณ ภูเขาซิตตาคูต้า พวกมันไปพบห่านทองคำและพูดว่า “เจ้านาย! กษัตริย์แห่งเบนาเรสได้สร้างทะเลสาบขนาดใหญ่และมีกลิ่นหอมหวนใกล้ ๆ เมือง พระองค์รับประกันจะคุ้มครองนกทุกตัวที่ตั้งหลักแหล่ง ณ ที่นั้น นกยังจะได้รับการเลี้ยงดูจากพนักงานป่าไม้อีกด้วย เราไปดูกันเถิดว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร พวกเราเหนื่อยล้ากับการอาศัยอยู่บนยอดภูเขาแห่งนี้และต้องหาอาหารด้วยตัวเอง”

ห่านทองคำซึ่งเป็นกษัตริย์ของฝูงห่านก็ตกลงกับข้อเสนอของพวกห่าน จากนั้นกษัตริย์ห่านและฝูงห่านบางตัวก็บินไปยังเบนาเรส

กษัตริย์ได้สั่งนายพรานของพระองค์ให้เฝ้าจับตามองอยู่ข้างทะเลสาบอย่างสม่ำเสมอ พระองค์ได้บอกพวกเขาว่า ถ้าเห็นห่านทองคำเข้ามาใกล้ทะเลสาบก็ให้วางกับดักทันที หัวหน้าพรานก็ได้จัดคนไว้รอบทะเลสาบตลอดวันตลอดคืน รอคอยที่จะจับห่านทองคำนี้

เช้าตรู่วันหนึ่ง เขาได้เห็นฝูงห่านขนาดใหญ่ และห่านที่ตัวใหญ่กว่าสีทองซึ่งมีขนระยิบระยับในแสงตะวัน บินมายังทะเลสาบ นายพรานจึงวางกับดักทันทีในหมู่ดอกลิลลี่น้ำและดอกบัว เขาทราบว่า ห่านทองคำซึ่งเป็นหัวหน้าจะร่อนลงมาสู่ผิวน้ำก่อน

คล้ายกับเมฆสีขาวหนาทึบ ห่าน 9,000 ตัวก็ได้ร่อนลงสู่ทะเลสาบ ห่านทองคำได้ร่อนลงสู่น้ำ และในบัดดลขาของมันก็ติดกับดักที่วางไว้ เมื่อฝูงห่านเห็นหัวหน้าของมันติดกับดัก ก็มาห้อมล้อมและร้องด้วยความโศกเศร้า แต่ไม่มีตัวใดกล้าช่วย พวกมันทะยานขึ้นและบินกลับไปยังภูเขาซิตตาคูต้าอย่างปลอดภัย มีเพียงสุมุกขาหัวหน้าของฝูงห่านนี้ที่อยู่กับกษัตริย์แต่เพียงลำพัง

ห่านทองคำหันมาพูดกับมันว่า “ห่านตัวอื่น ๆ ได้บินไปแล้ว สุมุกขา! พวกมันได้ละทิ้งฉันโดยไม่ลังเล ทำไมเจ้าจึงรออยู่ที่นี่? รีบบินไปเสียก่อนในขณะที่เจ้ายังมีโอกาส ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าจะถูกจับด้วย”

สุมุกขา หัวหน้า อาจจะเป็นผู้รับใช้ข้างกายของกษัตริย์ห่าน ก็ลอยอย่างสง่างามบนน้ำข้างๆ กษัตริย์ของมันและตอบว่า “ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งพระองค์ ขณะนี้ที่ภยันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์”

ขณะที่พวกมันกำลังพูดกัน หัวหน้านายพรานก็เข้ามาใกล้ทะเลสาบ สุมุกขาก็ตัดสินใจที่จะลองทำให้นายพรานใจอ่อน โดยบินไปหานายพรานขอร้องให้ปล่อยห่านทองคำ นายพรานตะลึงในความงามของห่านทองคำ และได้ถามมันว่า “เพื่อนของเจ้าต่างก็บินหนีไป โอ ห่านผู้สูงส่ง เจ้าไม่เห็นกับดักจากระยะไกลหรือ?”

ห่านทองคำตอบเขาว่า “เมื่อชีวิตกำลังมาถึงจุดจบและความตายคืบคลานเข้ามา ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตา ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นกับดัก”

นายพรานรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งในปัญญาของห่านทองคำ เขาจึงถามสุมุกขาว่า “แล้วทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ? ห่านตัวอื่น ๆ ก็ไปหมด เจ้ามีอิสระ แต่เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างห่านที่สูงส่งตัวนี้ เขาเป็นใครที่ทำให้เจ้าไม่จากเขาไปยามที่มีความจำเป็นเช่นนี้?”

สุมุกขาตอบว่า “เขาคือกษัตริย์ของข้า สหาย และเพื่อนของข้า ข้าจะไม่มีวันจากเขาไป แม้ว่าจะต้องตาย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายพรานจึงคิดว่า “นี่คือห่านที่กล้าหาญและสูงส่งจริง ๆ ถ้าฉันจะทำร้ายพวกมัน พระเจ้าก็จะลงโทษฉัน ฉันจะไปสนใจรางวัลของกษัตริย์ไปทำไมกัน? ฉันจะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ” เขาจึงพูดกับสุมุกขาว่า “ในเมื่อเจ้าจะตายเพื่อมิตรภาพ ฉันก็จะปล่อยกษัตริย์และสหายของเจ้าให้เป็นอิสระ ขอให้บินไปยังที่เจ้าทั้งสองต้องการเถิด”

เขาได้ปลดกับดักออกจากขาของห่านทองคำอย่างเบามือ และล้างเลือดในน้ำที่ใสบริสุทธิ์ของทะเลสาบ เขาปรับแต่งกล้ามเนื้อและเอ็นที่ไม่อยู่ในตำแหน่งให้เข้าที่ และน่าอัศจรรย์ที่เท้าก็กลับเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยตรงตำแหน่งที่เคยถูกกับดัก

สุมุกขาดีใจเป็นล้นพ้นที่ได้เห็นกษัตริย์ของมันเป็นอิสระและพูดกับนายพรานว่า “ขอให้ท่านจงมีความเจริญรุ่งเรือง โอ ท่านนายพราน สำหรับความมีเมตตาของท่านที่ปล่อยนายของข้าให้เป็นอิสระ!”

ห่านทองคำถามนายพราน “เจ้าจับตัวข้าสำหรับตัวเจ้า หรือว่ามันเป็นคำสั่งของใคร?”

“มันเป็นคำสั่งของกษัตริย์ที่ทำให้ข้าวางกับดัก ท่านห่านผู้สูงส่ง” นายพรานบอกความจริงกับห่านทองคำ และบอกว่าพระราชินีอยากเห็นห่านที่น่ามหัศจรรย์เพียงไร

ห่านทองคำรำพึงกับตัวเอง “บางทีอาจจะเป็นการดีถ้าข้าไปที่เมือง นายพรานจะได้รับรางวัล และกษัตริย์พหุพุทธคาก็เป็นกษัตริย์ที่ฉลาดและมีคุณธรรม ถ้าข้าปรากฏต่อหน้าพระองค์ด้วยความสมัครใจเอง พระองค์จะพึงพอใจ และอาจตัดสินใจให้อิสรภาพแก่ข้าในทะเลสาบอันงดงามนี้”

ดังนั้นมันจึงพูดกับนายพรานว่า “จงนำเราไปหากษัตริย์ เราจะพูดกับพระองค์ และถ้าพระองค์ปรารถนา พระองค์ก็จะปล่อยเราให้เป็นอิสระ”

นายพรานตอบว่า “ห่านผู้สูงส่ง กษัตริย์มิได้เมตตาเสมอไปหรอก พระองค์อาจตัดสินใจจับท่านทั้งสองเป็นนักโทษก็ได้”

แต่ห่านทองคำก็พูดกับเขาว่า “ข้าได้ทำให้ท่านใจอ่อน ท่านนายพราน ข้าสามารถขอความเมตตาจากกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด! ท่านทำหน้าที่ของท่าน จงพาข้าและสุมุกขาไปหาพระองค์”

ดังนั้นนายพรานจึงนำห่านทั้งสองวางบนคานหามของเขา และพาไปยังพระราชวัง

เมื่อกษัตริย์และพระราชินีเห็นห่านที่งดงามทั้งสองตัว ตัวหนึ่งมีขนสีทองอร่าม อีกตัวมีขนสีขาวประดุจหิมะบนยอดเขา ทั้งสองพระองค์ก็เบิกบานพระทัย กษัตริย์วางห่านทั้งสองลงบนคอนทองคำ และให้น้ำผึ้งกับธัญพืชละเอียดด้วยพระหัตถ์ของพระองค์แก่ห่านทั้งสอง และให้น้ำหวานมันกิน ตลอดทั้งคืน กษัตริย์และห่านทองคำสนทนากันในเรื่องภารกิจของกษัตริย์และคุณธรรมของกษัตริย์

ห่านทองคำบอกกับกษัตริย์ว่า “ผู้ที่ผัดผ่อนความพยายามในการทำความดีจนกระทั่งสายเกินไปจะจมต่ำลง เขาจะสูญเสียความรู้ทั้งหลาย และเขาจะสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ คนที่ไม่เห็นสัจธรรมจะไม่ได้รับปัญญา ขอให้ทะนุถนอมลูกชายของเธอ เพื่อเขาจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนฉลาด และเดินไปบนทางแห่งความดีเสมอ” ห่านทองคำก็แนะนำและให้กำลังใจกษัตริย์ด้วยประการฉะนี้แล

เมื่ออรุณรุ่งมาถึง มันก็กล่าวลากษัตริย์และพระราชินี และบินไปพร้อมกับสุมุกขาผู้ซื่อสัตย์ออกไปทางหน้าต่างทิศเหนือไปยังภูเขาซิตตาคูต้า

จบแล้ว! (เสียงปรบมือ)

ตอนนี้เราคงประหลาดใจว่าทำไมจึงมีห่านสูงส่งแค่สองตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นห่านขี้ขลาดและธรรมดา จำนวน 9,000 ตัว มีแค่ 2 ตัวเท่านั้นที่สูงส่ง!

เพราะฉะนั้นอันที่จริงแล้วแม้กระทั่งในอาณาจักรสัตว์ ก็มีความแตกต่างอยู่ ไม่เฉพาะเป็นมนุษยชาติเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นแบบที่มันควรเป็น ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมมันจึงควรเป็นแบบนั้น บางทีอาจจะมีการพัฒนาที่แตกต่างออกไปภายในหมู่สรรพสัตว์ แม้กระทั่งในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ก็คงจะมีความแตกต่างนี้เสมอ เพราะคนหนึ่งก็เลือกที่จะขึ้นไปข้างบนไปในทิศทางที่สูงส่งกว่า ในขณะที่อีกคนเลือกที่จะไปตามทางที่ธรรมดา ทางที่ง่ายและได้ประโยชน์ทางวัตถุมากกว่า บางทีทางเลือกของเราอาจจะทำให้เราสูงส่งหรือต่ำ และถ้าเราไม่ดิ้นรนต่อสู้ภายในตัวเรา พยายามที่จะทำให้ความคิดและอุดมการณ์ของเรา หรืองานของเรา และการกระทำของเราดีขึ้น เราก็คงอยู่ ณ ระดับเดียวกันกับที่เราเคยอยู่มาก่อนเสมอ-เป็นห่านที่ธรรมดามาก เรากลัวความกลัวของคนอื่น เป็นห่วงความกังวลของคนอื่น รับประทานอาหารของคนอื่น ฝันความฝันของคนอื่น และทำการกระทำและความคาดหวังที่เคยชินของคนอื่น ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเกี่ยวกับตัวเรา ไม่มีอะไรพัฒนา และเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าห่านที่กินหญ้า ดื่มน้ำทะเลสาบ และใช้ชีวิตแบบนี้ ชีวิตของพวกมันก็สงบสุข สามัคคีและไร้ซึ่งความกังวลเหมือนกัน และมันก็ดูดีด้วย แต่พวกมันก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไรมากไปกว่าหญ้าและน้ำในทะเลสาบ

เพราะฉะนั้นตอนนี้เราควรถามตัวเราว่า ต้องการชีวิตที่สงบสุขแบบนั้นด้วยหรือเปล่า ดังนั้นก่อนหน้านี้ฉันจึงเคยบอกเธอว่า อย่าภาคภูมิใจกับครอบครัวที่กลมเกลียวของเธอ สภาพแวดล้อมที่สงบสุขของเธอ สิ่งของที่เธอได้รับ และประโยชน์อะไรก็ตามที่เธอคิดว่ามาสู่เธอด้วยพระพรของอาจารย์หรือจากการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม

มันเป็นความจริงที่อาจารย์จะให้พรเราในสิ่งใดก็ตามที่เราต้องการ แต่เราไม่ควรพึงพอใจกับสิ่งนั้น และรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้น เพราะมันไม่มีอะไรเลย! ปุ๋ยที่เหม็นจำเป็นสำหรับดอกไม้ แต่ดอกไม้คือสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ปุ๋ย

นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมห่านทองคำจึงมีสีทองและงดงามมากและฉลาด และห่านตัวอื่นดูธรรมดา ๆ แบบในนิทานเรื่องนี้ บางทีพระพุทธเจ้าอาจเคยเป็นห่านทองคำในชาติหนึ่ง หรืออาจจะไม่เคยเป็นก็ได้ บางทีนี่อาจจะเป็นนิทานตัวอย่าง เพื่อเราจะเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวของการเป็นกษัตริย์หรืออาจารย์ มันเหมือนกับการพูดกับฝูงห่านที่โง่เขลา ที่ไม่มีมันสมองของมนุษย์หรือสติปัญญา เพราะฉะนั้นไม่ว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม มันก็มีความจริงอยู่ในนั้น เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ ทฤษฎีการกลับชาติมาเกิดไม่จำเป็นต้องมีจริง และพระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเคยกลับมาเกิดเป็นห่านทองคำจริง ๆ หรือกระต่ายป่าทองคำ หรืออะไรก็ตาม เพียงแต่ว่านิทานมีความจริง ความโดดเดี่ยวของการเป็นกษัตริย์หรือเป็นอาจารย์หรือเป็นนักปราชญ์ที่เด่นชัดในนิทานเรื่องนี้ มันไม่สำคัญว่า พระพุทธเจ้าได้เคยกลับชาติมาเกิดเป็นห่านหรือไม่ หรือพระองค์แค่แต่งมันขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักการแบบเดียวกันโดยอาศัยนิทานต่าง ๆ กัน