รายงานพิเศษ
การเยี่ยมเยียนฟิลิปปินส์
ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
และรายงานรางวัลสันติภาพ GUSI

ข่าวจากโทรทัศน์สุพรีม ตอนที่ 74,75,94 และ 95

หลังจากการดำเนินการค้นหาอ้นกว้างไกลทั่วทุกมุมโลก มูลนิธิรางวัลสันติภาพกูซี่ (GUSI)แห่งกรุงมนิลา ภูมิใจที่จะประกาศชื่อผู้ได้รับอันทรงเกียรติสาขาต่าง ๆ 15 ท่านสุดท้ายที่ได้รับเลือกสำหรับปีทองที่ 3(2549) ซึ่งเป็นรางวัลที่คล้ายกับรางวัลโนเบลของตะวันตก รางวัลสันติภาพอันทรงเกียรติของตะวันออกนี้ในแต่ละปีมอบให้เป็นพิเศษแก่บุคคลและองค์กรที่สนับสนุนและให้ความสำคัญเพื่อให้มีสันติภาพในโลกนี้

มูลนิธิรางวัลสันติภาพกูซี่ เป็นองค์กรการกุศลตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ประธานรางวัลสันติภาพกูซี่คนปัจจุบันของคณะคือผู้ทรงเกียรติแบรีกูซี่ ผู้ซึ่งสานต่องานอันสูงส่งของพ่อแม่เขา ผู้ซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยธรรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก ผู้บังคับการ เจอมิเนียโน เจวิเออ กูซี่ และภริยา มาดาม ทีโอดอร่า โซเทโจ กูซี่ อดีตเอกอัครราชทูตอันทรงเกียรติของทางเหนือของเกาะมาเรียน่า แปซิฟิค ผู้ทรงเกียรติแบรี กูซี่ได้ถูกคัดเลือกให้เป็น ฮูส์อิสฮูส์ (ใครเป็นใคร) ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญแห่งปี 2545 ผู้ทรงเกียรติแบรี กูซี่ ได้แต่งงานกับด๊อกเตอร์อีฟลีน ทานทามโค กูซี่ ทั้งสองท่านได้ทำงานด้วยการให้ความช่วยเหลือเพื่อนและเข้าไปมีส่วนร่วมกับทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่องของทรรศนะในเรื่องสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวของโลกนี้

ผู้ทรงเกียรติแบรี กูซี่ในฐานะประธานรางวัลสันติภาพกูซี่ได้แถลงว่า "พระเจ้าประทานความสามารถในการเลือกให้กับเรา ดังนั้นเราต้องเลือกหนทางที่จะแบ่งเบาความทุกข์ ให้เราได้ทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพ เราสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ด้วยพรของพระเจ้า"

รางวัลสันติภาพกูซี่นับเป็นรางวัลเฉพาะบุคคลที่ดีที่สุดในความถนัดเฉพาะด้าน และนานาชาติ เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ความสามารถที่พระเจ้าได้ประทานให้ในการช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างไม่เห็นแก่ตัว รายชื่อผู้ที่ได้รับเกียรติได้รับรางวัลสันติภาพกูซี่ในปี 2549 รวมถึง ดานุ โมฮัมหมัด บิน อิสเมล ผู้ได้รับรางวัลด้านกิจการศาสนาและความใจบุญสุนทาน ผู้อำนวยการ คาร์โล เจ คาพาราส ผู้ได้รับรางวัลด้านอักษรศาสตร์และภาพยนตร์ดีเยี่ยม; ด๊อกเตอร์เหลียง ปิง ชุง ผู้ได้รับรางวัลด้านเวชกรรมและวรรณกรรม; นางสาวแคทยา กรินีวา ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านศิลปการแสดง; กอเวอร์เนอร์ คาร์ล กูเทียรเรซ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านการบริการสาธารณะ; นายเอ เจ แฮคเคท ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านการกีฬา; ผู้พิพากษา แรม บี เจทมาลานิ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านความยุติธรรมในสังคมและกฎหมายมวลชน; อาจารย์บัพ ควาน ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านความเมตตากรุณา; หลวงพ่อคอรซี่ ลากาสปิ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านการเยียวยาและบริการผู้ป่วยและผู้ขัดสน; ด๊อกเตอร์ไอออนนิส ลายราส ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านเวชกรรม; อดีตประธานาธิบดี ฟิเดล รามอส ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านรัฐบุรุษ; เอกอัครราชทูต ทาร์มิซิ ทาเฮอร์ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านการบริการสาธารณะ; ด๊อกเตอร์ฟิไลพ์ โทเลนทิโน ผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านเวชกรรม และ มาดาม วัง ซูชิผู้ซึ่งได้รับรางวัลด้านมรดกทางวัฒนธรรม สำหรับในปีนี้ผู้สอนทางจิตวิญญาณและนักศิลปะที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ได้เข้าร่วมรับรางวัลท่ามกลางผู้มีเกียรติทั้งหลายในฐานะผู้ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกในด้านการให้ความช่วยเหลือ,การสนับสนุนในเรื่องความรักเพื่อนมนุษย์และความเมตตากรุณา
ท่านอาจารย์ได้รับการต้อนรับจากนายมานูเอล โมราโต ซึ่งเป็นนายกของมูลนิธิรางวัลสันติภาพกูซี่ที่สนามบิน

เมื่อท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ เดินทางมาถึงกรุงมะนิลาเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2549 ก่อนวันเข้าพิธีรับรางวัลเป็นเวลา 2 วัน ท่านได้รับการต้อนรับที่สนามินอย่างอบอุ่นจากนายมานูเอล โมราโต ซึ่งเป็นนายกของมูลนิธิรางวัลสันติภาพกูซี่ และผู้มีเกียรติอีกหลายท่าน ที่สนามบิน ความผูกพันระหว่างท่านอนุตราจารย์ชิงไห่และชาวฟิลิปปินส์มีมานานกว่า 15ปี ด้วยการให้ความเมตตาช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการระเบิดของภูเขาไฟ พินาทูโบ ซึ่งในทางตรงกันข้ามชาวฟิลิปปินส์ และรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เปิดประเทศเป็นอิสระที่จะให้ผู้อพยพชาวเวียดนามเข้าไปอยู่อาศัยได้ ณ เวลาที่ไม่มีใครต้อนรับพวกเขา และท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาผู้อพยพในระดับนานาชาติ

ในปี 2543 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้แสดงปาฐกถาในกรุงมะนิลาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง เพื่อมหาสมุทรแห่งความรักของท่านตั้งแต่นั้นมา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ท่านได้เดินทางกลับมาที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่ท่านชื่นชอบประเทศหนึ่งในโลก แม้ว่าจะเพิ่งมาถึงหลังจากการเดินทางเป็นระยะเวลานาน ท่านก็ได้ใช้เวลาไปเยี่ยมสมาชิกของสมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่ พวกเขาทั้งหมดดีใจมากที่ได้พบท่านอาจารย์อันเป็นที่รักของพวกเขา

เมื่อผู้ได้รับรางวัลและแขกผู้มีเกียรติเริ่มมาถึงกรุงมะนิลา สื่อหนังสือพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ในประเทศได้จัดเตรียมการทำข่าวพีธีมอบรางวัลอย่างกว้างขวางในทันที และเช่นเดียวกันการมาเยือนฟิลิปปินส์กรณีพิเศษเพื่อรับรางวัลสันติภาพกูซี่ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ สื่อจากคณะผู้สื่อข่าวนานาชาติก็นำเสนอเหตุการณ์สำคัญนี้ในประเทศฟิลิปปินส์ด้วย

 
การจัดเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อต้อนรับผู้ได้รับเกียรติชั้นสูงรางวัลสันติภาพกูซี่ 2549

ในฐานะที่เป็นแขกพิเศษของทุกประเทศ ได้มีตำรวจนำขบวนรถยนต์ดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อยในการเดินทางให้กับท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ขณะที่เดินทาง

ในวันต่อมา วันอังคาร ที่ 21 พฤศจิกายน 2549 การจัดเลี้ยงอาหารกลางวันและประชุมเพื่อให้ข่าวได้จัดขึ้น ผู้สื่อข่าวจากทั่วโลก มาเพื่อสัมภาษณ์ ผู้ได้รับเกียรติจากรางวัลสันติภาพกูซี่ 2549 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ถูกสัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ (เอ็นบีเอ็น) ของรัฐบาลฟิลิปปินส์

ตัดตอนจากการสัมภาษณ์เอ็นบีเอ็น

ทางสถานีโทรทัศน์ "สวัส่ดีค่ะ นี่คือท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ผู้ที่ได้รับรางวัลสันติภาพกูซี่ และเป็นผู้รับเกียรติอันสูงในด้านการให้ความช่วยเหลือ,การสนับสนุนในเรื่องความรักเพื่อนมนุษย์และความเมตตากรุณา ขอแสดงความยินดีกับท่าน"

ท่านอาจารย์ "ขอบคุณ"
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีเอ็น ด้วย

ทางสถานีโทรทัศน์ ท่านเริ่มงานเพื่อมนุษยชาติตั้งแต่เมื่อไร และอะไรที่ทำให้ท่านทำงานนี้?

ท่านอาจารย์ "งานเพื่อมนุษยชาติ ฉันทำตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เมื่อไรที่สามารถทำได้ และอะไรทำให้ฉันทำก็คือ มันรู้สึกว่ามันถูกต้อง ฉันรู้สึกสิ่งที่คนอื่นรู้สึก ฉันอ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้อื่น

ทางสถานีโทรทัศน์ "ฉันแน่ใจว่ามีจุดหมายอย่างหนึ่งที่อยู่ภายในตัวเราที่ต้องการเป็นเหมือนท่าน แต่แล้วมันต้องถูกนำออกไป ท่านมีข่าวสารอะไรที่สามารถบอกกับประชาชนอื่น ๆ"

ท่านอาจารย์ "คุณได้ทำงานของคุณดีแล้ว ซึ่งดีเลิศ มันเป็นเพียงแต่ว่าถ้าคุณต้องการรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น บางทีคุณอาจจะนั่งสมาธิมากขึ้น และอาจจะชอบที่จะหาความรู้เกี่ยวกับตัวเราเองให้ลึกขึ้น ซึ่งมันก็คืพระเจ้าภายในตัวเรา เพราะในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า พระเจ้าอาศัยในตัวเธอ ดังนั้น เราคือพระเจ้าโดยแท้ แล้วเราก็เดินในทิศทางนี้ ถ้าเราก้าวเดินเข้าหาพระเจ้ามากขึ้น เราก็จะมีปัญญาและความเมตตามากขึ้น ความเมตตา หมายถึง เราหลีกเลี่ยงการฆ่าทั้งหลาย เราหลีกเลี่ยงความรุนแรง และหลีกเลี่ยงที่จะกินมันโดยตรง เช่น เนื้อสัตว์หรือสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นสิ่งที่เหมือนความเป็นพระเจ้าของเรามากขึ้น เรานั่งสมาธิเพื่อตระหนักรู้พระเจ้านี้มากขึ้น เพื่อติดต่อกับพระเจ้าภายใน แล้วเราก็จะฉลาดขึ้น มีการให้มากขึ้น และจะแน่ใจในเป้าหมายของเรามากขึ้น"

ในตอนเย็น แขกผู้ได้รับเกียรติทั้งหมดและบุคคลสำคัญได้รับการเชิญรับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม เบ็สเวสเทิร์นแอสเตอร์ เพื่อต้อนรับแขกมีเกียรติทั้งหมดที่มาที่ฟิลิปปินส์

คุณโจ ลาดแซนโตส กรรมาธิการคณะกรรมการภาษาของฟิลิปปินส์ ได้กล่าวเชิญท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ในภาษาฟิลิปปินส์เพื่อตัดสินรางวัลในรายการที่ชื่อว่า "การชุมนุมกวีแห่งปี " ในวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2549 นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สงวนไว้สำหรับบุคคลปัญญาสูงที่มีชื่อเสียง และฉลองนักกวีต่าง ๆ ที่ปราดเปรี่ยง เช่นเดียวกับแขกผู้มีเกียรติพิเศษหลายท่าน

บริเวณทางเข้า มีแผ่นป้ายเด่นขนาดใหญ่แสดงถึงการต้อนรับอันอบอุ่น เพื่อเป็นการต้อนรับท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ และเมื่อท่านมาถึง เด็กผู้หญิงที่แต่งชุดประจำชาติถือช่อดอกไม้สดคอยต้อนรับท่านอยู่ตรงบริเวณทางเดิน และระหว่างการพิธีฉลอง บทกวีของท่านบทหนึ่งได้ถูกนำมาอ่านบนเวที ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้รับความเคารพในงานนี้ในฐานะเป็นแขกพิเศษ และสำหรับกวีนิพนธ์ของท่านที่ได้รับการเปล่งเสียงต้อนรับ

ความเห็นของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ระหว่างการสัมภาษณ์

"คุณจะเห็นว่ากวีและเพลงทำให้คนเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก ทั้งต่างเชื้อชาติ มันเจาะทะลุผ่านการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนา มันทำให้ประชาชนรวมเข้าด้วยกัน มันหลอมคนด้วยความรัก ความไว้ใจ ความสอดคล้องกลมกลืน ดังนั้น กวีจึงเป็นภาษาแห่งความรัก กวีเป็นภาษาของความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น เราต้องรักษามันไว้ทุกวิถีทาง นั่นคือที่ฉันคิด"

ในโอกาสนั้น ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้บริจาคเงินจำนวน 10,000 ดอลลาร์ แก่คณะกรรมการภาษาของฟิลิปปินส์ และ 30,000 ดอลลาร์ แก่มหาวิทยาลัยโพลี่เทคนิคของฟิลปปินส์ (เช็คจัดส่งถึงวันที่ 16 ธันวาคม โดยตัวแทนของท่าน)

เย็นวันต่อมา แขกผู้ได้รับเกียรติ 15 ท่าน ประชุมกันที่ โรงภาพยนต์เมอรัลโค ในพิธีมอบรางวัลสันติภาพกูซี่ ร่วมกับแขกผู้มีเกียรติอื่นมากกว่า 1,000 คนและ

ผู้เข้าชม รายการประกอบด้วยขบวนพาเรดธง โดยมีธงต่าง ๆ ที่แทนชาติของผู้ได้รับรางวัล และที่พิเศษน่าสนใจได้แก่ธงแห่งสันติภาพนานาชาติ ออกแบบโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ในการปรากฎตัวเป็นพิเศษ ของ พณฯ กลอเรีย แมคคาปากอล อาร์โรโย ประธานาธิปดีฟิลิปปินส์ ได้มาร่วมเป็นเกียรติแก่ที่ประชุมนี้ด้วย หลังเคารพเพลงชาติฟิลิปปินส์แล้ว ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ถูกเชิญขึ้นไปกล่าวเปิดพิธี

 

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: "กราบเรียนพระเจ้าผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุด,พระเจ้าสุดที่รักของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระเจ้าที่ปราศจากการแบ่งแยกระหว่างเชื้อชาติ,ประเทศ, สรรพสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกนี้ และทั้งจักรวาล พวกเราของขอบพระทัยในทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้แล้ว กำลังประทาน และจะประทานให้พวกเรา และขอบพระทัยพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการป้องกันประเทศฟิลิปปินส์ และสำหรับการประทานพรแก่ประชาชนในดินแดนที่งดงามนี้ พวกเราขอขอบพระทัยสำหรับเย็นวันที่มหัศจรรย์นี้ สาธุ"

 

 
ท่านอาจารย์รับรางวัลสันติภาพกูซี่จากประธานาธิปดีกลอเรีย แมคคาปากอล อาร์โรโย ของฟิลิปปินส์ (ซ้าย)

พิธีฉลองรางวัลจัดขึ้นโดย คุณฟิลาร์ ฟิลาฟิล เป็นนักแสดงหญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้ชนะรางวัลที่มีชื่อเสียง และคุณสตีฟ โรโดนิช หลังจากจบประวัติสั้น ๆ ของรางวัลสันติภาพกูซี่ และการเต้นระบำตามประเพณีของชาวฟิลิปปินส์ คุณมานูเอล โมราโต้ ผู้เป็นประธานของมูลนิธิรางวัลสันติภาพกูซี่ได้กล่าวแสดงการต้อนรับ และท่านผู้มีเกียรติ คุณแบรี่ กูซี่ ประธานคณะผู้บริหารของมูลนิธิรางวัลสันติภาพ กูซี่ ได้ให้ที่อยู่แก่แขกที่อยู่เต็มห้องประชุม หลังจากนั้นประธานาธิบดีอาร์โรโยได้รับการแนะนำในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ ประธานาธิบดีอาร์โรโย ได้มอบรางวัลต่าง ๆ ให้แก่ผู้ทรงเกียรติทั้ง 15 ท่าน

 
ครอบครัวกูซี่

แบรี่ กูซี่: "สันติภาพเป็นปัจจัยพื้นฐานอันยิ่งใหญ่ของการรู้แจ้งทางจิตวิญญาณและสัจธรรม และสิ่งเดียวที่ผมจะพูดก็คือ เราต้องสอนคนรุ่นต่อไปของเราให้เชื่อ ให้เคารพ และมีวินัยในการรักษาสันติภาพของเรา แล้วเราก็จะสามารถทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้นสำหรับอยู่อาศัย"

มานูเอล โมราโต: "เราต้องการให้ทุกประเทศให้ความสนใจมองหาผู้ที่มีคุณงามความดีและความเมตตาทั้งบุรุษและสตรีที่เดินอยู่ทั่วไปในวงการต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ และไม่เป็นที่สังเกต เราจะปล่อยให้พวกเขาเดินผ่านเราไปโดยไม่มีแม้แต่คำว่าขอบคุณหรือ? สำหรับเรื่องนี้ เรามูลนิธิรางวัลเพื่อสันติภาพกูซี่อยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือด้วยวิธีการเล็ก ๆ ของเรา เพื่อกล่าวคำขอบคุณ ขอบคุณพวกเขา ขอบคุณแทนผู้ยากไร้ที่พวกท่านได้ช่วยเหลือ ขอบคุณสำหรับความสุขที่พวกท่านได้ปลูกไว้ในหัวใจของพวกเขา ขอบคุณสำหรับความเสียสละที่พวกท่านได้มอบให้ในการนำสันติภาพมาให้การรับใช้ทั้งต่อผู้คนร่วมชาติของท่านและคนทั้งโลก ท่านเหล่านี้ที่ฉันกำลังแนะนำอยู่ได้มาอยู่ที่นี่กับเราแล้วในคืนนี้"

ฟิเดล รามอส ประธานาธิบดีคนก่อน: (ต้นฉบับเป็นภาษาฟิลิปปินส์) "พวกเราทุกคนในที่นี้ทั้งท่านผู้ฟังและท่านที่อยู่บนเวที นับจากนี้ไปต้องช่วยเหลือสนับสนุนมูลนิธิกูซี่ และทำทุกสิ่งแม้เพียงเล็กน้อยที่เราทำได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ไร้ความสำคัญ และด้อยพัฒนาในทุกแห่ง และโดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์อันเป็นที่รักของเรา"

"นี่เป็นสิ่งท้าทายสำหรับพวกเราทุกคน"

"เรามาตะโกนให้ดัง ๆ ว่าเราทำได้แล้ว และนั่นคือการสนับสนุนสิ่งดี ๆ ทั้งหมดที่กำลังพยายามลดความยากจน และนำพาผู้คนให้มีชีวิตที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น"
ประธานาธิบดี กลอเรีย มากาปากัล อาโรโย ได้มอบรางวัลสันติภาพ กูซี่ สาขารัฐบุรุษ ให้แก่ประธานาธิบดีคนก่อน ฟิเดล วี รามอส

ในฐานะที่เป็นผู้ปราศรัยท่านสุดท้าย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เชิญตัวแทนของสมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่จากห้าทวีปที่อยู่บนเวทีร่วมแบ่งปันเกียรติยศดังนี้: คุณดีมทรี กูทาห์ แอฟริกา, คุณโซเฟีย ลาแพร์ สหรัฐอเมริกา, คุณลอห์ ชินห์-หุง เอเชีย, คุณคาเธีย ดีวิน ออสเตรเลีย และ คุณคราซีน่า พลอซีนีซาก ยุโรป ในคำปราศรัยสดของท่าน อนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวอีกครั้งหนึ่งถึงความรักและความภูมิใจของท่านสำหรับฟิลิปปินส์ประเทศที่สวยงาม และผู้คนที่จิตใจกว้างขวาง

ท่านอาจารย์ : "และฉันคิดว่า มูลนิธิสันติภาพกูซี่ควรมีรางวัลสันติภาพกูซี่อีกหนึ่งรางวัล สำหรับอารมณ์ขัน...นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันดีมากเหมือนกันกับสันติภาพ ถ้าผู้คนหัวเราะด้วยกันทุก ๆ วัน พวกเขาก็จะไม่ก่อสงครามกันอีกแล้ว"

"มันตลกที่คนดีจะดีอย่างไร พวกเขาก็มีอารมณ์ขันมากเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่ได้-สิ่งดี ๆ ภายในตัวพวกเขา และสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่การวัดความสำเร็จทางด้านวัตถุหรือไม่ใช่การเป็นที่รู้จักกันดีไปทั่วโลกหรือสถานภาพของประเทศ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยความมีมิตรไมตรีจิต มีศรัทธา และความดีงามของประชาชนในประเทศ กรณีนั้น ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่ ประชาชนของฟิลิปปินส์สมควรได้รับการยกย่องนี้จริง ๆ และรางวัลทั้งหมดก็เหมาะสมกับประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการรางวัลใด ๆ เพราะว่าชาวฟิลิปปินส์ไม่ได้ขาดแคลนอะไร และยังได้รับความบริสุทธิ์ทางศาสนาที่สูงสุด และร่ำรวยในมรดกทางวัฒนธรรม และที่เหนือกว่าทั้งหมดนั้นคือ พวกเขามีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดและประเมินค่าด้วยรางวัลใด ๆ ไม่ได้เลย พวกเขาเลือกการให้เกียรติแก่ผู้อื่น ซึ่งบางท่านได้มาร่วมงานอยู่ ณ ที่นี้ เพื่อชื่นชมยินดีกับความเมตตาอ่อนโยนของประเทศที่มีวัฒนธรรมสูงและใจดีนี้ ดินแดนแห่งการกลับมาของดวงตะวัน ดินแดนแห่งความรัก นั่นคือประเทศฟิลิปปินส์"

ตลอดค่ำคืนนั้น มีการแสดงดนตรีโดยวงดนตรีนักร้องประสานเสียงการกุศลของฟิลิปปินส์, การเต้นระบำโดยทีมเต้นรำ เดอะ ปังเกท กาลิมันทัน, นักร้องเสียงสูงชายสูงอายุโนลีน คาบาฮูก และนักร้องเสียงสูงสุด ลิซ่า คาบาฮูก, นักเล่นไวโอลินเจย์ คายูก้า ซึ่งเล่นบางตอนของเพลงชุด "ความฝันแห่งโอเปร่า" ด้วยการแสดงที่น่าประทับใจของเขาแก่ผู้มีเกียรติในงาน, และนักบรรเลงเดี่ยวเปียโนของรัสเซียคอนเสิร์ต แคทย่า กรีนีวา ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับรางวัลปี 2549

ก่อนจบงานรับรางวัลนี้ พิธีปล่อยนกพิราบก็มีขึ้น ซึ่งครอบครัวกูซี่ได้ปล่อยนกพิราบ 2 ตัว สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แล้วพวกเขาก็เชิญทุกคนร่วมกันร้องเพลง “Let There Be Peace”

ขอให้สันติภาพเกิดอยู่ทั่วไปบนดวงดาวของเรา ขอให้โลกนี้ดำเนินอยู่ต่อไปด้วยความงามและความรัก นี่คือวิสัยทัศน์ที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ผู้มีเกียรติได้รับรางวัลสันติภาพกูซี่ ปี 2549 ได้แสดงออก

การขอบคุณที่น่าประทับใจสำหรับหัวใจที่มีความรัก

 
งานเลี้ยงอาหารกลางวันขอบคุณแด่เพื่อนและนักหนังสือพิมพ์

เกือบยี่สิบปีมาแล้วที่งานของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ในฟิลิปปินส์ได้ขยายออกไปและแผ่วงกว้าง จากงานบรรเทาทุกข์สาธารณภัย รวมทั้งผู้ประสบภัยพายุไต้ฝุ่นทุเรียนและได้ฝุ่นอูตูร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2549 งานการกุศลต่าง ๆ การให้ทุนการศึกษา ความรักและความเมตตาของท่านที่มีต่อชาวฟิลิปปินส์มีอย่างกว้างขวางไม่รู้จบ อย่างไรก็ดี สำหรับชาวเอาหลากที่อาศัยอยู่ในประเทศที่สวยงามนี้และคนอื่น ๆ อีกมากที่ได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ พวกเขารู้สึกขอบคุณไม่รู้จบต่อท่านอนุตราจารย์ชิงไห่สำหรับความพยายามที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการช่วยเหลือพวกเขาหาที่พำนักลี้ภัยในต้นปี 2533 ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่รัฐบาลของฟิลิปปินส์หลายคน รวมทั้งคุณรามอสประธานาธิบดีคนก่อน และสื่อมวลชนต่าง ๆ ได้อยู่ข้างท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ในการให้ความช่วยเหลือท่านในงานด้านมนุษยธรรมนี้ ดังนั้น ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ระหว่างการกลับไปเยี่ยมฟิลิปปินส์ครั้งนี้ ท่านได้เชิญเพื่อนเก่าและนักหนังสือพิมพ์มาร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันขอบคุณ เพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับหัวใจที่มีความรักของพวกเขาที่มีต่อผู้ด้อยโอกาส

ต่อจากอาหารกลางวัน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้รับเชิญไปในงานเปิดงานเอเชียแปซิฟิคของยูเนสโก – ITI Chair and the concluding ceremony of the Asian Bishops Conference on Social Communications (ตำแหน่ง ITI และสรุปพิธีจัดงานสัมมนาหัวหน้าบาทหลวงของเอเซียในหัวข้อ การสื่อสารในสังคม)ที่มหาวิทยาลัยเซนต์ ปอล เมืองเควซอน มีหัวหน้าบาทหลวงหลายท่านจากทั่วเอเชียได้มาร่วมงาน ประธานาธิบดีกลอเรีย มากาปากัล อาโรโยได้กล่าวสนับสนุนงานของแม่ชีคาทอลิกและโรงเรียนที่พวกเขาดำเนินงานเพื่อเด็กหญิงผู้ด้อยโอกาส ภายหลังจากงานเลิก ท่านอาจารย์ได้รับเชิญโดยคณะแม่ชีไปยังโบสถ์อันงดงาม หลังจากการพูดคุยกับคณะแม่ชีแล้ว ท่านได้บริจาคเงิน 50,000 เหรียญสหรัฐ ให้แก่มหาวิทยาลัยเซนต์ ปอล เมืองเควซอน และบริจาคเงิน 50,000 เหรียญสหรัฐให้แก่งานสัมมนาหัวหน้าบาทหลวงแคธอลิคของฟิลิปปินส์ ( Catholic Bishops’ Conference of the Philippines (CBCP)) เช็คเงินที่บริจาคนี้ได้นำส่งโดยตัวแทนของท่านเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม

ตามข้อเขียนของมิสเตอร์ โจ แลด ซานโตส ในธรรมสารฉบับที่ 175 (หัวข้อ ผู้นำโลกที่ส่องแสง) เรือชื่อ ทังแอน นำชาวเอาหลากมากกว่า 2000 คนมาถึงท่าเรือกรุงมะนิลาในปี 2522 พวกเขาทั้งหมดถูกกักอยู่ในเรือเป็นเวลานานถึง 8 เดือนโดยไม่ได้สัมผัสถูกพื้นดินของประเทศฟิลิปปินส์

รายงานที่ประทับใจลึกซึ้งจากเดอะ ทัง แอนได้เผยว่า คนห้าคนแบ่งกล้วยหนึ่งลูกสำหรับอาหารหนึ่งวัน เรื่องนี้ทำให้มาดาม อิเมลด้า อาร์.มาร์กอส สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฟิลิปปินส์ในสมัยนั้น ภรรยาของประธานาธิบดีเฟอร์ดินัล อี มาร์กอส ต้องร้องไห้ เธอกล่าวว่า "เราต่างก็เป็นผู้อพยพ ถ้าพวกเขาไม่มีแผ่นดินอยู่ พวกเราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่มีใครในโลกนี้มีประเทศของพวกเขาเอง เนื่องจากเราต่างก็เป็นผู้อพยพ" ผลต่อมาคือ สถานที่แห่งหนึ่งในปูเออร์ตา พรินซีซา เมืองปาลาวันได้ถูกประกาศให้เป็นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับพวกเขาและต่อมาได้กลายเป็นศูนย์ลี้ภัยชาวฟิลิปปินส์ (PRPC)

ในปี 2534 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้แสดงความขอบคุณมาดามอิเมลด้า อาร์ มาร์กอส สำหรับการเปิดประตูประเทศฟิลิปปินส์รับผู้อพยพชาวเอาหลาก

จากการกลับมาเยี่ยมฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ไปเยี่ยมมาดาม อิเมลด้า มาร์กอส อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความเป็นเพื่อนเก่ามานาน มาดามอิเมลด้ารู้สึกประทับใจที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ยังคงคิดถึงเธออยู่

ระหว่างที่ท่านอยู่ในฟิลิปปินส์ ทุกที่ที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ไปถึง ท่านได้รับการอารักขาโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาล และมีสื่อมวลชนติดตามอย่างใกล้ชิด ช่างถ่ายวีดีโอและช่างถ่ายรูปอีกมากมาย พวกเขารายงานเกี่ยวกับงานทางด้านมนุษยธรรมของท่านในฟิลิปปินส์และที่อื่น ๆ ทั่วโลก

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ให้เกียรติแก่ฟิลิปปินส์ด้วยวันที่สวยงามเพียงไม่กี่วัน เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ระหว่างวันเวลาเหล่านี้ได้ถูกเติมเต็มด้วยความสุขความร่าเริงมากมาย ความรักที่บริสุทธิ์และหัวใจที่เมตตาของท่านได้ทิ้งความประทับใจไว้มิรู้เลือนแก่ประเทศนี้
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เป็นศูนย์กลางความสนใจของสื่อมวชชน
ไม่ว่าท่านไปที่ใด

 

 

สื่อต่าง ๆ ที่รายงานเกี่ยวกับรางวัลสันติภาพกูซี่และท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
-
พีเพิล จอร์นอล ทูไนท์, ฟิลิปปินส์
- มะนิลา บูลเลทิน, ฟิลิปปินส์
- Gov. Ph News, เว็ปไซต์ทางการของฟิลิปปินส์
- หนังสือพิมพ์รายวันไชน่า วูแมน, สาธารณะรัฐประชาชนจีน
- กูงมิง เดย์ลี่, สาธารณะรัฐประชาชนจีน
- นอร์เธอร์ อเมริกัน ไลฟ์ เนท, สหรัฐอเมริกา
- สถานีโทรทัศน์ยูนหนาน, สาธารณะรัฐประชาชนจีน
- เดอะ ฟิลิปปินส์ สตาร์, ฟิลิปปินส์
- มานิลา แสตนดาร์ด ทูเดย์ ฟิลิปปินส์