หลักของธรรมชาติ

 

 

 

 

 

 

โดยศิษย์พี่ผู้ชายเอินจง เหมียวลี่ ฟอร์โมซา
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

 

ไข้หวัดนกนำพามนุษย์

ทบทวนความคิด

 

ไข้หวัดนก ฟังชื่อก็เข้าใจ คือ ไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อโรคของสัตว์ปีก เชื้อโรคเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อไปให้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มนุษย์เมื่อติดเชื้อไข้หวัดนก จะมีอาการเริ่มต้นเหมือนกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่มีไข้สูงเท่ากับ 41 องศาเซลเซียส (105.8 องศาฟาเรนไฮร์) และทำให้กระทบการทำงานของตับมากกว่าไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ทำให้เซลน้ำเหลืองลดน้อยลง และการหายใจที่ติดขัด ทำให้อวัยวะอ่อนแอจนตายได้ คำว่าไข้หวัดนกปัจจุบันปรากฏเป็นความเห็น 2 ชนิด บางคนเห็นเป็นสัตว์ร้ายจากน้ำท่วมเต็มไปด้วยความกังวล บางคนเห็นเป็นเรื่องที่ให้ความกลัวมากเกินไป เป็นเพราะโรงงานผลิตยาเก็งกำไรเกินไป มีบางคนเรียกร้องให้ทานมังสวิรัติจึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ทุกคนอาจจะพูดความจริงออกมาบางส่วน แต่พวกเราควรจะเข้าใจปัญหาเหล่านี้ให้มากกว่านี้

ก่อนอื่น พวกเราควรจะเข้าใจถึงศัตรูสมมุติที่พวกเราเผชิญหน้าอยู่ มันเป็นเชื้อโรคที่เล็กมากจนคิดไม่ถึง ถ้าหากพวกเราใช้ปากกาลูกลื่นจุดเบา ๆ บนกระดาษ จุดเล็ก ๆ นี้สามารถบรรจุเชื้อโรคได้ถึงหนึ่งล้านตัว มันมีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา และเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกับมนุษย์ เพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขในการดำรงชีวิต และต่อสู้เพื่อความอยู่รอด นักวิทยาศาสตร์มักจะเอาเชื้อโรคบางอย่างมารวมกันเป็นกลุ่มเดียวกันคือ กลุ่มกลายพันธุ์ คล้ายกับเกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ความเป็นจริง พวกมัน เจตนา กลายพันธุ์มาตลอด เนื่องจากมนุษย์ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ที่ละเลยต่อเจตนาของพืช สัตว์ หรือแม้แต่จุลินทรีย์ จึงทำให้กลายมาเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องมาจัดการกับปัญหาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

การจะสืบทราบปัญหาไข้หวัดนก พวกเราจะต้องรู้จักความสามารถของเชื้อโรคคืออะไร? เชื้อโรคกับเบตทีเรียอื่น ๆ ก็เหมือนกับจุลินทรีย์เหล่านั้น อยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยกัน ระบบการย่อยของพวกเรา จากลำคอถึงลำไส้ จะมีเบตทีเรียเต็มไปหมด เชื้อโรคก็เหมือนกัน พวกมันก็อาศัยอยู่ในผิวหนังกับอวัยวะต่าง ๆ ความจริงแล้ว พวกเราเป็นร่างกายที่มีชีวิตที่บรรทุกจุลินทรีย์เต็มไปหมด การเป็นอยู่ของพวกมันไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปหมด ดูผิวเผินจะเป็นศัตรูของมนุษย์ แต่ความเป็นจริงคือเพื่อน พวกมันได้ช่วยระบบการย่อยของพวกเรา เพื่อให้ชีวิตของพวกเรายืนยาวต่อไป กระตุ้นระบบคุ้มกันของพวกเรา ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เลวร้าย และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ทำหน้าที่เป็นคนกวาดขยะ จัดการนำพวกเรากลับสู่ผืนแผ่นดินใหญ่ ช่วยให้ธรรมชาติรักษาการกลั่นกรอง ดังนั้น พวกมันทำหน้าที่เป็นผู้ขับของเสียเพื่อสร้างของใหม่ในระบบของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่อันสำคัญต่อการให้มีการเกิดอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่ใช่ว่า สิ่งมีชีวิตเป็นส่วนเกิน เพื่อให้พวกเราทำลายล้างอย่างพอใจ

เชื้อโรคชนิดต่าง ๆ จะทำการแพร่พันธุ์ในเจ้าของร่างที่เหมาะสมที่สุด ตามกฎของธรรมชาติทำให้โลกแห่งธรรมชาติขับเคลื่อนไปได้อย่างแนบเนียน แต่เมื่อมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติอย่างมโหฬาร เชื้อโรคก็หาที่อยู่อาศัยไม่ได้ จึงวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อความอยู่รอดของชีวิตเหมือนกับมนุษย์ที่ถูกบังคับให้โอนย้ายไปอยู่ที่อื่น รุ่นแรกที่โอนย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่ไม่รู้จักผู้ใด ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก รุ่นที่ 2 ก็จะค่อยดีขึ้น ความจริงเชื้อโรคต้องการจะอาศัยอยู่ในร่างคนใหม่ แต่มนุษย์กลับมาก่อกวน ทำให้เรื่องยุ่งไปหมด

โรคไข้หวัดมรณะ (SARS) เป็นตัวอย่างที่ดี ภายในระยะเวลาครึ่งปี โรคไข้หวัดมรณะได้เข้าโจมตี 29 ประเทศ ทำให้คนเจ็บป่วยจำนวน 8,400 คน 813 คนต้องตายไป สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับเอเชีย 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ความสูญเสียทางจิตใจไม่สามารถจะประเมินได้ ถ้าพวกเราไม่ลืมง่าย ต้องจำได้ว่า คนป่วยกับครอบครัวในขณะนั้น ถูกมองว่าเป็นสัตว์ร้ายจากน้ำที่ไหลบ่า ทุกคนจะหาทางหลบผู้ป่วยอย่างตกใจกลัว ในสมัยยุคกลางศตวรรษ การปฏิบัติต่อผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อนได้กลับมาสู่ยุคที่ทันสมัย

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คาดว่า มนุษย์เดิมทีติดโรคไข้หวัดมรณะ สาเหตุมาจาก: เชื้อโรคไข้หวัดมรณะเดิมทีจะอาศัยอยู่ในตัวค้างคาว ต่อมาแพร่ไปอยู่ในผลไม้ป่า และผู้คนไปทานผลไม้ป่า ดังนั้น จึงไปติดโรคมา แม้จะมีผู้คนจำนวนน้อยที่ทานผลไม้ป่า แต่ได้นำอันตรายมาสู่มนุษย์! ด้วยสาเหตุนี้สามารถยืนยันได้ว่า การทำลายความสมดุลของธรรมชาติ ไม่ช้าก็เร็วที่จะได้รับผลกรรมอย่างคาดไม่ถึง

ถ้ามนุษย์ยังไม่ตื่นตัวจากเรื่องเหล่านี้ พลังของไข้หวัดนกจะมากขึ้น เพราะปัจจุบันวิธีที่นำมารักษามันผิดถนัด และเรียกการจัดการในขณะนี้ว่า “ดื่มเหล้ายาพิษเพื่อแก้กระหาย” ได้อย่างสมจริง ปัจจุบันมนุษย์ทำลายล้างด้วยวิธีฆ่าสัตว์ปีก การระบาดโรคไข้หวัดนกที่เอเชียเมื่อปี 2540 มีคนป่วย 18 คน 6 คนเสียชีวิต ไก่จำนวน 1.5 ล้านตัวถูกฆ่าทิ้งภายใน 3 วัน ปีนี้โรคดังกล่าวเริ่มมาอีก จากการประมาณมีไก่ เป็ด นกที่ถูกฆ่าตายจำนวน 150 ล้านตัว อีกจำนวนมากที่ถูกเผาทั้งเป็น ถ้าพวกเราเคยถูกไฟลวกจะต้องทราบว่า พวกมันตายอย่างทรมานเพียงใด ด้วยเหตุนี้ พวกเราอดไม่ได้ที่จะขอถามว่า “มนุษย์ทำเช่นนี้ จะไม่ต้องรับกรรมหรือ?” พวกเราไม่ต้องไปคำนึงถึงความเจ็บแค้นจากสัตว์ที่จะมาสนองต่อพวกเรา ลำพังเชื้อโรคที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด จะไม่ให้พวกมันหาที่อยู่ใหม่หรือ? พวกเราเวลานี้ก็ทราบดีแล้วว่า หมูเป็นร่างใหม่ที่พวกมันไปอาศัยอยู่ แล้วจะทำการฆ่าต่อไปอีกหรือ? แม้ว่าจะฆ่าหมูให้หมด สัตว์ต่อไปคืออะไร? ถึงแม้จะมีร่างต่อไป ต่อไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะถึงคนมิใช่หรือ?

คำถามมีอยู่ว่า ทำไมต้องไปฆ่าสัตว์เลี้ยงที่ช่วยตัวเองไม่ได้มากมายเช่นนี้ หลาย ๆ คนอาจไม่ได้คิดให้ลึกกว่านี้ การเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้เนื้อที่ราคาต่ำ เลี้ยงสัตว์ไว้ในสถานที่แคบ ๆ เมื่อมีตัวหนึ่งติดโรค การระบาดก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการป้องกันของมนุษย์ จึงต้องเสียสละพวกมันทั้งหมด

โรควัวบ้า โรคหมูปากเปื่อย เท้าเปื่อย โรคไข้หวัดมรณะที่มีอยู่ในผลไม้ป่า และไข้หวัดนก เป็นโรคที่มาจากการทำลายระบบธรรมชาติของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ว่ามีจำนวนสัตว์มหาศาลต้องมาสละชีวิต ผู้ก่อเหตุคือมนุษย์ ทั้งหมดมาจากเนื้อที่เอาเข้าปาก พวกเราปฏิบัติต่อคนเช่นไร คนก็จะปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนั้น ในทำนองเดียวกัน พวกเราทำกับสัตว์อย่างไร สัตว์ก็จะทำกับพวกเราเช่นนั้น เชื้อโรคตัวเล็ก ๆ ยังมีความต้องการอยู่รอด แล้วสัตว์จะไม่ต้องการหรือ! คนมีความต้องการอยู่รอด ดังนั้น จึงต้องเคารพสิทธิ์มนุษย์ พวกเราควรเอาจิตใจไปใส่กับโลกแห่งธรรมชาติทั้งหมด เกรงกลัวต่อผู้สร้างโลก เคารพต่อทุกชีวิต มองสัตว์เป็นเพื่อนเล็กของพวกเรา รักและปกป้องพวกมัน ดูแลพวกมัน แล้วสิ่งที่พวกมันสนองตอบพวกเรา คือความสุขใจที่มิอาจคาดได้ จนพวกเราต้องตื่นเต้น ขอให้พวกเราจงรอคอยวันนี้ที่จะมาถึง