ยุคมังสวิรัติ

 



ไข้หวัดนก:

เสียงเรียกร้องจากธรรมชาติให้มนุษย์ตื่นขึ้น

โดยกลุ่มข่าวฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

 

การแพร่กระจายของไข้หวัดนก นับเป็นหนึ่งในการคุกคามต่อสุขภาพของสาธารณะชนที่รุนแรงที่สุด ซึ่งมนุษย์ได้เคยประสบพบมา โรคนี้ติดต่อถึงมนุษย์โดยการชำแหละหรือการรับประทานสัตว์ที่ติดโรค อย่างเช่น ไก่หรือเป็ด

 

 

การรับประทานเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดการระบาดของไข้หวัดนกอย่างไร

ไข้หวัดมีความสัมพันธ์มาช้านานกับอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ โดยที่เชื้อไวรัสไข้หวัดมนุษย์ครั้งแรกได้ปรากฏขึ้นในเมืองที่มีสัตว์อยู่กันหนาแน่นในคอกสัตว์และในโรงฆ่าสัตว์ นับตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นมาได้เกิดโรคไข้หวัดนกที่เป็นอันตรายถึงตาย 24 ครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นจากฟาร์มหมูและไก่ และในปี 2540 การระบาดของไข้หวัดไปทั่วโลกได้ถูกหลีกเลี่ยงให้แคบลง เมื่อฮ่องกงได้ทำลายประชากรไก่ทั้งหมด ในด้านการพัฒนาองค์การอนามัยโลก (WHO)ได้จัดตั้งเครือข่ายระวังไข้หวัดทั่วโลก ซึ่งติดตามสายพันธุ์ใหม่ ๆ ของไข้หวัดในฟาร์มเลี้ยงหมูและนก

นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดนกในปัจจุบันจะต้องผ่านการกลายพันธุ์ 10 ครั้ง ก่อนที่จะเกิดการระบาดไปทั่วโลก และสภาพแวดล้อมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกลายพันธุ์นี้ก็คือฟาร์มเลี้ยงหมู ไก่ และเป็ด หมูติดเชื้อได้ง่ายจากทั้งไวรัส ไข้หวัดที่มาจากนกและมนุษย์ ความจริงแล้วการระบาดของไข้หวัดนกในอดีต หมูได้ถูกใช้เป็น “ช่องทางสำหรับการผสมผสาน” สำหรับการกลายพันธุ์ใหม่ ๆ ซึ่งได้ผ่านระหว่างตัวมันกับมนุษย์อย่างต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคม 2548 ยกตัวอย่าง สายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเกิดขึ้นมาจากหมูได้ปรากฏขึ้นในมณฑลเสฉวนประเทศจีน ซึ่งทำให้คนติดเชื้อนับร้อยและตายไป 40 คน

นักวิทยาศาสตร์ได้ติดตามร่องรอยของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในปัจจุบันไปยังภูมิภาคของสามเหลี่ยมแม่น้ำไข่มุกของประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหมู ไก่ เป็ด และสัตว์อื่น ๆ ซึ่งใช้เป็นอาหารเป็นจำนวนมาก ด้วยการนับครั้งเดียว สัตว์ 134 ชนิดก็สามารถหาซื้อได้ในตลาดของพื้นที่นี้ ซึ่งเปียกชุ่มด้วยเลือดและอุจจาระที่มีเชื้อไวรัส สัตว์ที่มีชีวิตถูกจับยัดเข้าไปในกล่องได้ปฏิเสธอาหารและน้ำ และมักจะถูกลอกหนังและฆ่าเป็น ๆ สภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูงเช่นนี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์อื่น ๆ ลดลง และการรวมตัวผสมผสานของสัตว์ป่วยชนิดต่าง ๆ ได้ทำให้เชื้อไวรัสมีการข้ามสายพันธุ์หลายครั้ง จนไปถึงจุดที่ตอนนี้มันได้มีผลกระทบไปยังสัตว์ 75 ชนิด

จากคำกล่าวของลอรี่ แกรเรต ผู้อาวุโสสำหรับสุขภาพของโลกที่สภาความสัมพันธ์ต่างประเทศและนักประพันธ์หนังสือ โรคระบาดที่กำลังมาซึ่งชนะรางวัลพูลิทเซอร์ เขากล่าวว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ที่ปลายสุดของห่วงลูกโซ่อาหารอันยาวเหยียดของสัตว์ ไวรัสไข้หวัดนกก็จะกลายพันธุ์ในลักษณะนี้ “จนถึงขั้นที่มีความยากขึ้นที่จะจัดการ”

ประวัติศาสตร์ของความหายนะ

นักโบราณคดีที่ศึกษากระดูกของสัตว์ได้สืบหาร่องรอยของเชื้อโรคมากมาย ย้อนไปถึงการกักขังสัตว์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว กระดูกเท้าของปศุสัตว์จากยุคนั้นผิดรูปผิดร่างเหมือนเช่นกระดูกเท้าของสัตว์ที่ถูกกักขังเหล่านั้น ในขณะที่มนุษย์ซึ่งกักขังพวกมันเอาไว้ได้ตายจากโรคที่เกิดขึ้นมาจากสัตว์ เช่น วัณโรค อีสุกอีใส และไข้หวัด ความเจ็บป่วยที่ไม่ใช่เป็นความเจ็บป่วยของมนุษย์ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อยได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำได้ทำให้ปศุสัตว์ล้มตายไป ซึ่งมนุษย์ได้พึ่งพามันเพื่อเป็นอาหาร ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์ขาดสารอาหาร เกิดความอดอยาก และเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นด้วยทางตรงหรือด้วยทางอ้อม ความยึดติดของมนุษย์ที่มีต่อเนื้อสัตว์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษได้ทำให้เกิดความหายนะยิ่งกว่าสงครามหรือภัยพิบัติธรรมชาติใด ๆ ซึ่งได้เคยเกิดขึ้น

ในทุกวันนี้ คน 1 ใน 3 คนจะตายจากโรคติดเชื้อซึ่งส่วนใหญ่ได้รับมาจากสัตว์ และความเจ็บป่วยของมนุษย์ 3 ส่วน 4 ได้รับมาจากสัตว์ ในทางตรงกันข้าม ชาวพื้นเมืองอเมริกันซึ่งตามประเพณีแล้วไม่ได้กักขังสัตว์เหมือนอย่างเช่นเผ่าอื่น ๆ ก็ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา ต่อมาความเจ็บป่วยของชาวยุโรปที่ได้รับมาจากสัตว์ที่เป็นแบบต่อเนื่องก็ได้ทำลายประชากรพื้นเมืองของทวีปอเมริกาทั้ง 2 ทวีปไป 90%

ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่ 10อันดับสูงสุดที่เป็นสาเหตุของความตายในประเทศกำลังพัฒนา ส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากสัตว์ และที่สำคัญที่สุดคือเอดส์ ไวรัสเอชไอวีที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในผู้ค้าเนื้อลิงและซิมแปนซี และในขณะนี้คน 65 ล้านคนได้ติดเชื้อเอชไอวี และเชื้อนี้ได้ฆ่าคนไปแล้ว 25 ล้านคน นักวิทยาศาสตร์ได้ตัดสินว่า ไวรัสลิงซึ่งมีชื่อว่าเอชไอวีได้กระโดดข้ามสายพันธุ์ระหว่างผู้ล่าสัตว์และลิงอย่างน้อย 7 ครั้ง ก่อนที่จะกลายเป็นเชื้อเอชไอวี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการย้ายถ่ายเทไวรัสปริมาณมากได้เกิดขึ้นเนื่องจากการล่าสัตว์

วัฎจักรแห่งความรุนแรง

วิธีการโดยทั่วไปในการป้องกันโรคไข้หวัดนกก็คือ การฆ่าไก่ที่มีโรคนี้ ดังนั้น สัตว์ปีกประมาณ 150 ล้านตัว จึงได้ถูกทำลายไปในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคเมื่อเร็ว ๆ นี้ การสำรวจที่มีการเตรียมไว้ให้สหประชาชาติได้พบว่า วิธีการฆ่านกที่เป็นแบบฉบับก็คือ การตีมันด้วยท่อนไม้และท่อนเหล็ก และยัดมันลงไปในถุงพลาสติก และฝังมันทั้งเป็นในหลุม ในบางกรณีได้มีการเทน้ำมันเชื้อเพลิงลงไปในหลุม และสัตว์ได้ถูกเผาทั้งเป็นก่อนที่จะถูกฝัง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดแบบทิ่มแทง และการทำให้เกิดการตายอย่างช้า ๆ ก็ได้ถูกนำมาใช้ด้วย

เกมส์ที่ร้ายแรงถึงชีวิต

นอกเหนือจากฟาร์มเลี้ยงไก่ อีกวิธีการหนึ่งซึ่งไข้หวัดนกสามารถแพร่กระจายไปถึงมนุษย์ก็โดยการล่าเป็ด เป็ดเป็นพาหะที่สำคัญของไข้หวัดนกในป่า และเมื่อนักล่าสัตว์ยิงเป็ด พาหะของโรคนี้ก็จะแพร่เชื่อไวรัสไปยังทุกสิ่งที่มีการสัมผัสกับซากสัตว์ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามนุษย์ได้แพร่กระจายเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ไปยังปศุสัตว์และมนุษย์คนอื่น ๆ จากการล่าสัตว์

ในขณะที่การล่านกได้ถูกห้ามในหลายประเทศในปีนี้ อันเนื่องมาจากความเป็นไปได้ในการแพร่ระบาดไข้หวัดนก แต่นักล่าสัตว์ส่วนใหญ่ก็เพิกเฉยกับข้อห้ามนี้ ตามที่เจ้าหน้าที่ล่าสัตว์ชาวเลบานอนได้อธิบายไว้ว่า “นักล่าสัตว์อาจจะไม่เชื่อรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจข้อห้ามนี้อย่างจริงจัง พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ไข้หวัดนกได้ทำให้การล่าสัตว์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของชาติ และไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมทางสังคมหรือเศรษฐกิจอีกต่อไป”

ไข้หวัดนกแพร่กระจายผ่านการค้ากับนกต่างประเทศ ซึ่งบางตัวเจ้าหน้าที่ก็ได้ยึดมาจากประเทศที่ไกลถึงอังกฤษ เจ้าหน้าที่ยังพบไก่ชนที่ติดเชื้อถูกลักลอบนำออกจากประเทศจีนอีกด้วย นายเดวิด มอร์แกน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์สำหรับการประชุมการค้าระหว่างประเทศ (CITES) ในเรื่องสายพันธุ์ที่อันตรายได้กล่าวว่า “คุณต้องการเพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้นที่จะเล็ดลอดผ่านตาข่ายออกไปเพื่อแพร่กระจายเชื้อโรค

อนาคตที่สดใสกว่านั้นเป็นไปได้

ตามที่เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขได้พยายามควบคุมการแพร่กระจายของไข้หวัดนก ซึ่งเป็นความพยายามที่ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจนับพันล้านดอลล่าร์ และสูญเสียชีวิตของนกนับหลายร้อยล้านตัว เราก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า จะมีวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกว่าหรือไม่ นอกเหนือไปจากการฆ่าแบบปริมาณมาก ซึ่งก็คืออาหารมังสวิรัติ ขณะที่ผู้คนซื้อเนื้อสัตว์ในร้านและซุปเปอร์มาร์เก็ต บางทีพวกเขาควรจะถามตัวเองว่า “มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะเสี่ยงกับการระบาดของโรคสำหรับเนื้อชิ้นนี้?” และในกรณีที่คนสรุปว่า กฎแห่งธรรมชาติสำคัญคือ “ฆ่าหรือถูกฆ่า” เขาก็ควรจะคิดถึงเรื่องสุนัขซึ่งเป็นแบบอย่างของการนำมาเลี้ยงให้เชื่อง โดยการแบ่งปันอาหารและให้ที่พักกับสุนัข มนุษย์ก็ได้เปลี่ยนผู้ที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนให้เป็นผู้นำทาง ผู้ปกป้อง และ “เพื่อนที่ดีที่สุด” มันจะง่ายกว่าสักเพียงไรที่จะเป็นมิตรกับสัตว์ที่รักสงบ อย่างเช่น วัว หมู และไก่! การฆ่าสัตว์เหล่านี้เพื่อเป็นอาหารเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ไม่มีความเป็นอารยชน ซึ่งทำอันตรายต่อสุขภาพของผู้คนในโลกนี้ ดังนั้นจึงขอให้พวกเราหวังว่า การกระทำที่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าเหล่านี้ เพื่อจัดการกับปัญหาไข้หวัดนกที่จะถูกนำมาใช้ในเร็ว ๆ นี้