เรื่องจริง

 

 

 

 

ตัวอย่างอันโดดเด่นแห่งความกล้าหาญและผู้รับพระกรุณาคุณของท่านอาจารย์ 

 

โดยพี่ประทับจิตหญิง Yuch Jung คอสตาริก้า

 

“วันหนึ่งเขาได้มาถึงทะเล ได้พบชายชราและถามว่า ‘ผมจะไปยังฝั่งตรงข้ามได้อย่างไร?’ ชายชราตอบว่า ‘มันง่ายมากแค่เดินข้ามมหาสมุทรไป’”

 

ในเดือนมกราคม พศ.2545 (คศ.2002) ฉันได้จ้างผู้รับเหมาให้สร้างคอนโดมิเนียม 4 หลังสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวฉันในซานโฮเซ่ คอสตาริก้า อย่างไรก็ตาม ผู้รับเหมาก็ได้ใช้เงินกองทุนทั้งหมดที่จัดสรรให้กับโครงการนี้และหนีไปก่อนที่จะทำงานเสร็จ ดังนั้นเนื่องจากสามีของฉันได้ทำงานอยู่ในฟอร์โมซา ส่วนฉันก็อยู่กับลูกๆ 2 คนในดินแดนแปลกถิ่นและขับรถไม่เป็น ฉันก็ได้แต่สวดถึงท่านอาจารย์ให้ช่วยเหลือ จากนั้นฉันก็ไปที่ถนนและได้พบช่างเชื่อมโลหะให้มาช่วยฉัน แต่ก็ได้สังเกตเห็นว่าผู้ช่วยของเขาไว้ใจได้มากกว่า ฉันจึงขอให้เขาอยู่ทำโครงการให้เสร็จ ในช่วงทดลองงานของผู้ช่วย ฉันได้พบว่านอกเหนือจากงานเชื่อมโลหะแล้วเขายังสามารถทำงานก่อสร้างอื่นๆได้มากมาย อาทิเช่น งานประปา,เดินสายไฟและงานไม้ และยังสามารถทำหน้าต่างและประตูเหล็กได้อีกด้วย ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของเขา ฉันจึงทำงานเสร็จโดยไม่ต้องจ้างวิศวกรหรือผู้รับเหมาทั่วไป

ในขณะที่งานกำลังดำเนินไป ฉันมักจะเปิดเทปเพลงสวดของท่านอาจารย์เสมอในสถานที่ก่อสร้าง และช่างก่อสร้างคนใหม่ของฉันก็รู้สึกหลงใหลในเสียงอันไพเราะของท่านอาจารย์ และสนใจในคำสอนของท่าน เมื่อพูดถึงท่านอาจารย์ เขาจะพูดด้วยท่าทางที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กด้วยน้ำเสียงที่นุ่มยิ่งกว่าเสียงของผู้หญิง ความรักอันมากมายของท่านอาจารย์ได้สัมผัสเขาอย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายที่เขียนถึงท่านใน นิตยสารข่าว ฉบับที่ 36 จากผู้ลี้ภัยชาวเอาหลักที่ถูกจำคุก ขณะที่กำลังอ่านจดหมายอยู่ ช่างก่อสร้างซาบซึ้งจนน้ำตาไหลและอ่านมันซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเขาก็ได้เรียนวิถีสะดวกและสามารถเข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็วมาก และได้รับพระพรทันทีด้วยนิมิตทางจิตวิญญาณมากมาย นอกจากนั้น ด้วยความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดของท่านอาจารย์และความจริงใจของตัวเขาเอง ช่างก่อสร้างก็สามารถเอาชนะอาการติดบุหรี่และเหล้าที่มีมานาน 21 ปีได้ทันที ด้วยความทึ่งอย่างมากในประสบการณ์ของเขา ฉันจึงได้ขอให้เขาเล่าชีวิตของเขาให้ฟัง อย่างไรก็ตาม เขามักจะหยุดหลังจากพูดไปได้2-3คำเท่านั้น เนื่องจากความทรงจำเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะเล่าให้ฟังได้

เป็นที่ปรากฏว่าชายผู้นี้เกิดในครอบครัวนิคารากัวที่ยากไร้ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านไม้โบราณ เมื่อเขาเป็นเด็กพ่อของพี่ชายคนนี้เป็นชาวนา แต่เขาก็แค่พอมีเงินยืมม้าพยศที่ไม่มีใครสามารถปราบมันให้ทำงานในฟาร์มของเขาได้ และหลังจากใช้ความพยายามอย่างมากในการปราบม้า เขาก็ต้องนำม้ากลับไปคืนเจ้าของเพื่อแลกกับม้าพยศตัวอื่น หลังจากทำงานเหนื่อยยากมาหลายปี พ่อของเขาก็มีสภาพการเงินที่ดีขึ้นพอที่จะทำงานอย่างอื่น วันหนึ่งเมื่อพี่ชายคนนี้กลับมาจากโรงเรียน เขาก็พบว่าน้องสาวคนเล็กของเขาตายด้วยโรคขาดสารอาหาร ครอบครัวของเขาก็โทษเขาโดยบอกว่าเธอตายเพราะเขามักจะแย่งอาหารไปจากเธอเสมอๆ เขารู้สึกเสียใจมากจนร้องไห้อย่างฟูมฟาย

พี่ชายคนนี้ยังเป็นทุกข์จากความรักที่ไม่ได้รับการรักตอบ ปัญหาทางการเงินและแรงกดดันอื่นๆด้วย และได้เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง เขาได้แต่งงานในช่วงวัยรุ่น และแม้เขาจะมีครอบครัวและลูกๆ แต่ก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่าและเคว้งคว้าง ครั้งหนึ่งในช่วงเวลานี้เขารู้สึกภาคภูมิใจเมื่อกลุ่มชาวต่างชาติชื่นชมในพรสวรรค์ของเขา และได้จ้างให้เขาดูแลโรงงานทำไม้ขนาดใหญ่ เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี ได้เกิดสงครามกลางเมืองในนิคารากัว พี่ชายคนโตของเขาจึงถูกบังคับให้เข้าร่วมกองทัพแต่ก็ถูกฆ่าตาย เมื่อศพของเขาถูกนำกลับมาบ้านด้วยสภาพที่ถูกทรมานจนจำหน้าตาไม่ได้ แม่ของเขาเป็นลมทันทีเมื่อได้เห็น ต่อมาถึงคราวของพี่ชายคนนี้ที่ต้องเข้าร่วมกองทัพ เขาได้ถูกทรมานอย่างโหดร้ายเช่นกัน เช่นถูกจับใส่ในน้ำและถูกไฟช้อต และครั้งหนึ่งเคยถูกจับตัวไปอยู่ต่อหน้าทหารปืนเพื่อประหาร โชคดีแต่ละครั้งที่ถูกจับเขาหลบหนีความตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด ในการหนีครั้งหนึ่งของเขา เขากระโดดลงไปในทะเลจากที่สูงประมาณ 15 เมตร พอฟื้นคืนสติก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนชายหาดคนเดียว

ในขณะที่เขาอยู่ในสนามรบ อันตรายมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ขณะที่ลูกกระสุนบินไปทั่วทุกทิศทาง รวมถึงกระสุนหนึ่งลูกที่ฝังเข้าในขาของเขา หลังจากที่เขาถูกนำตัวออกมาจากสนามรบ หมอชาวรัสเซียบอกเขาว่าเขาจะตายทันทีถ้าลูกกระสุนถูกควักออก ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าจะปล่อยมันไว้อย่างนั้น และปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปนานเท่าที่พระเจ้าจะอนุญาต 18ปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น และบาดแผลในขาของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นสีเงินและอักเสบ แต่เขาก็ยังมีความกล้าหาญและหาเลี้ยงชีพโดยการทำงานก่อสร้างที่หนัก

ในเหตุการณ์ครั้งหนึ่งระหว่างการกระโดดร่มในเวลาเที่ยงคืน ทางการได้รายงานว่าเขาหายไป แต่อันที่จริงเขาได้หายไปในป่า เขาบอกว่าในช่วงนั้นเขามักจะเดินป่าทั้งวัน แต่ก็ต้องพบว่าตัวเองกลับมาสู่จุดเริ่มต้น ในที่สุด 3ปีหลังจากนั้นเขาก็พบหนทางกลับบ้านเกิดของเขา เขาดูเหมือนโครงกระดูก เมื่อเขาปรากฏตัวในหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันหลบซ่อนตัวด้วยความกลัวคิดว่าเขาเป็นผีที่กลับมาหลอกหลอนพวกเขา ในขณะที่พี่ชายคนนี้หายตัวไปมีเพียงพ่อของเขาเท่านั้นที่เชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะคืนหนึ่งพ่อได้ฝันว่าลูกชายมาบอกว่าจะกลับมาบ้านในวันนั้นวันนี้ และหลังจากที่เขากลับมาแล้ว นักข่าวนิคารากัวมากมายก็มาสัมภาษณ์เขา แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดถึงชีวิตของเขาในภูเขา

ขณะที่สูญหายไปในป่า ครั้งหนึ่งเขาได้ร้องไห้จนหลับไป เมื่อตื่นมาก็ได้เห็นสัตว์ป่าที่คล้ายสิงโตจ้องมองเขาอยู่ แต่มันก็ไม่ได้โจมตีเขา แล้ววันหนึ่งชาวอินเดียนก็มาจับเขา และเนื่องจากใบหน้าของเขามีผมปกคลุมเต็มไปหมดและตาของเขาก็โตมาก พวกนั้นจึงคิดว่าเขาเป็นลิง แต่หลังจากที่ได้โกนหนวดเคราและตัดผมแล้ว พวกนั้นก็พบว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาที่ไม่ใช่อินเดียน ด้วยความหวังที่จะผลิตลูกหลานที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันนั้น หัวหน้าเผ่าจึงบังคับให้เขาแต่งงานกับลูกสาวหัวหน้าเผ่า และถ้าเขาปฏิเสธ เจ้าหญิงอินเดียนก็จะขู่เขาด้วยมีด และแล้ววันหนึ่งหลังจากที่เป็นเชลยมา 4 เดือน และด้วยความพยายามที่จะหลบหนีหลายครั้งในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ

จากนั้นเขาก็เดินท่องเที่ยวไปตามภูเขาด้วยความโศกเศร้า จนวันหนึ่งเขาก็ได้มาถึงทะเลได้พบชายชราและถามว่า “ผมจะไปฝั่งตรงข้ามได้อย่างไร?” ชายชราตอบว่า “มันง่ายมาก แค่เดินข้ามมหาสมุทรไป” เขาเดินทางต่อไปโดยคิดว่าชายชราเยาะเย้ยเขา แต่หลังจากนั้นสักครู่เขาหันหลังกลับไปและพบว่าชายชรานั้นได้อยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว เขาจึงเชื่อว่าชายชราผู้นี้เป็๋นมนุษย์อมตะ เขายังได้พบฤๅษีที่อาศัยอยู่ในภูเขาอีกด้วย ซึ่งไม่ค่อยจะพูดจาแต่ได้รักษาอาการป่วยของเขาโดยไม่คิดเงิน ฤๅษีคนหนึ่งได้บอกเขาว่าให้มีความถ่อมตนให้มากๆอยู่เสมอ และฤๅษีอีกคนหนึ่งก็แนะนำเขาให้อยู่ห่างจากเพื่อนๆ พูดให้น้อยและเอาสมาธิจดจ่อที่ตาปัญญา น่าเสียดายที่คำพูดอันมีค่าของพวกเขาได้สูญเปล่าไปเนื่องจากเขาไม่ได้ใส่ใจในคำแนะนำ

ไม่นานหลังจากที่เขาได้รับการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม ผู้ประทับจิตชาวคอสตาริก้าก็ได้รับเงินบริจาคจากท่านอาจารย์ที่ให้กับชาวเมืองที่ยากจนของทิบาส เพื่อช่วยเหลือพวกเขาก่อสร้างสะพานและซ่อมถนน สถานที่นั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นนรกแห่งบาปและมีชื่อเล่นว่า “สามเหลี่ยมแห่งความตาย” คนท้องถิ่นก็คิดว่าการช่วยเหลือพวกเขาจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นผู้ประทับจิตใหม่เขาก็อาสาที่จะช่วยในโครงการก่อสร้าง และในวันแรกของการทำงานของเขา คนติดยาก็มาขู่เขาด้วยมีด แต่เมื่อเขาเริ่มท่องคำพระ5คำ คนติดยาก็ถูกจับตัวไป

ในช่วงคริสต์มาส พ.ศ.2547 เมื่อเขากำลังทำงานอยู่ในทิบาส เขาได้รับบาดเจ็บซึ่งได้เพิ่มแผลใหม่ให้กับขาของเขา และเนื่องจากการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี แผลจึงยังไม่หายดีเพราะหนองสีเหลืองยังคงไหลออกมาจากขาที่เป็นสีดำและบวม แต่เขาก็ยังทำงานต่อไป นอกจากนั้นผู้ประทับจิตท้องถิ่นก็ยังต้องพึ่งเขาในงานก่อสร้างมากมาย แต่คนจำนวนน้อยที่จะทราบถึงความทรมานที่เขาต้องอดทน และทราบถึงความเสียสละที่เต็มไปด้วยความรักของเขา

เนื่องจากความเจ็บปวดที่ขาของเขา งานของเขาจึงช้าลงซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยพยายามที่จะอธิบายหรือพูดปกป้องตัวเอง แต่กลับยอมรับทุกอย่างอย่างเงียบๆ “หนี้จะต้องได้รับการชดใช้!” เมื่อเร็วๆนี้หมอยังได้บอกเขาอีกด้วยว่าจะต้องตัดขาของเขาทิ้ง แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงอายุ 30 กว่าเท่านั้น เขาก็ไม่กังวล และยังคงเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์อยู่กับเขาเสมอ คนจำนวนมากคงจะท้อแท้หมดกำลังใจทันทีในสถานการณ์เช่นนั้น และหากมิใช่เป็นเพราะแรงสนับสนุนจากความรักอันมากมายของท่านอาจารย์แล้ว เขาจะมีกำลังใจทำต่อไปได้อย่างไร?

ขณะนี้เมื่อได้เป็นผู้ประทับจิตแล้ว เขาก็เห็นคุณค่าของธรรมวิถีกวนอิมเป็นอย่างมาก โดยบอกว่า “ท่านอาจารย์เป็นพระเจ้า” และไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยเพียงไรหลังเลิกงาน เขาก็จะตื่นเป็นประจำทุกวันในเวลาตี3เพื่อนั่งสมาธิ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังทำงานในสภาพหนาวเหน็บในภูเขา ซึ่งจะต้องอยู่ร่วมกับคนงานอื่นๆ เขาจึงนั่งสมาธิในห้องน้ำของอาคารที่พวกเขากำลังก่อสร้างอยู่ วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งสมาธิในลักษณะนี้ เขาได้ทำให้ยามที่เดินยามอยู่ตกใจ และทุกคนคิดว่าเขาผิดปกติ แต่เขาก็ไม่สั่นคลอนและพูดว่า “การนั่งสมาธิได้กลายเป็นนิสัยที่ฝังรากแล้วซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” นอกจากนั้น นับตั้งแต่ที่เขาได้เริ่มบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง สภาพชีวิตของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังคงอดทนต่อความไม่ยุติธรรมมากมายอย่างเงียบๆโดยพูดว่า “หนี้จะต้องได้รับการชดใช้!”

เงินที่เขาหาได้มาจากหยาดเหงื่อและแรงกายของเขา เขาก็ไม่ได้เอาไปใช้รักษาขาของเขา แต่เอาไปซื้อเหล็กและอิฐ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะก่อสร้างศูนย์ในนิคารากัวเพื่อว่าแสงสว่างและความรักของท่านอาจารย์จะได้ถูกนำมาสู่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเขาที่เสียหายเพราะสงคราม ความเมตตาอันยิ่งใหญ่และพระกรุณาคุณของท่านอาจารย์ก็ได้หลอมละลายหัวใจของ “ชายผู้ทรหดบึกบึน” โดยสิ้นเชิงด้วยประการฉะนี้ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยระหกระเหินไปไกลแสนไกลและมีชีวิตที่ยากลำบากมาก!