อาจารย์กล่าว

 

 

 

 

 

 

 

จงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูก ๆ เธอ

ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ เซอร์เรย์ สหราชอาณาจักร
7 มกราคม 2549 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

 

ผู้บำเพ็ญคนที่1: ลูกชายของผมเข้าวิถีสะดวกมานานแล้ว แล้วเขาก็ไม่บำเพ็ญ และพอโตมาเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนที่เกเรมาก สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า โกหก ลักขโมยแล้วก็ใช้ยาเสพติด ทุกอย่างเลย
อ:
โอ พระเจ้า ยาเสพติด! เธอจะต้องระวังไว้ เธอจะต้องบอกว่า “ไม่”

บ1: ผมทำแล้ว ผมต่อสู้กับเขามาก
อ:
โอเค แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?

บ1: พวกเราลำบากมาก แต่แล้วอยู่ ๆ เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า เขาจะไปติดอยู่ในสภาวะที่เขาไม่อยากจะอยู่ เขาสามารถไปได้ไกลกว่ามาก เขาจึงกำจัดทุกสิ่งหมด แล้วเราก็ค่อย ๆ ให้กำลังใจเขาที่จะมานั่งสมาธิกับเรา แต่ช้ามาก เพราะมีคนจำนวนมากกดดันลูก ๆ ให้มาประทับจิต แต่พวกเขาจะบำเพ็ญไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก
อ:
ฉันเข้าใจ

บ1: ผมบอกเขาว่า “ถ้าลูกนั่งสมาธิทุก ๆ วันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พ่ออาจจะพิจารณาส่งใบสมัครประทับจิตเต็มเข้าไปให้” แต่ประการแรกเขานั่งสมาธิเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ทุก ๆ เช้า เขาจะมานั่งสมาธิ แต่ไม่ใช่ว่า ผมเชื่ออะไรที่เขาบอก 100%
อ:
ฉันเข้าใจ

บ1: ผมจะดูว่า เขาทำอะไร
อ:
โอเค ตกลงเขานั่ง

บ1: แล้วมาคราวนี้ พอผมกลับบ้าน ผมก็บอกว่า “ถ้าเธออ่านหนังสือ 5 เล่ม กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันทีเล่มที่ 1-5 และถ้าลูกอ่านธรรมสารของท่านอาจารย์ทุก ๆ เดือน และถ้าลูกไปนั่งสมาธิกลุ่มทุกครั้งที่มีโอกาส พ่อก็จะส่งใบสมัครเข้าไป” เขาก็ตกลงเช่นกัน เพราะฉะนั้น ท่านมีคนแบบนั้นอยู่ 2 คน
อ:
ดี! ใช่ ดีแล้ว!

บ1: ผมเสียใจที่ต้องเข้มงวดกับเขา แต่ผมทราบว่า เขาเกียจคร้าน และผมไม่อยากจะ...เพราะผมไม่อยากจะให้ท่านต้องเสียเวลาของท่านไปกับเขา หรือให้เขาเสียเวลาของเขาไปกับท่าน ผมจึงต้องดูให้แน่ใจ
อ:
ดีมาก! ดีมาก ถ้าเขาทำแค่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เธอพูด เขาก็ประทับจิตได้แล้ว โอเคไหม?

บ1: โอเค ยอดเยี่ยมเลย!
อ:
ฉันจะเดินเข้าไปหาครึ่งหนึ่ง (เสียงปรบมือ)

บ1: โอเค ขอบคุณ แต่เขาเป็นเด็กดี เดียวนี้เขามีความสุขมาก
อ:
ฉันเข้าใจ

บ1: แล้วพอผมกลับบ้าน เขาดูได้รับพรมาก และมีความสุขมาก จริง ๆ แล้ว เขาเป็นเด็กดีที่มีจิตใจที่ดีมาก แต่เขาลองเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กไม่ดี
อ:
เปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ๆ มันแค่เป็นแรงกดดันจากคนรอบข้าง ฉันบอกพวกเธอที่เป็นผู้ปกครองทั้งหลายว่าอย่างนั้น เพราะคำพูดของพวกเธอมีความหมายจริง ๆ พ่อแม่หลายคนไม่พูดว่าอะไรหรือพูดน้อยมาก ลูก ๆ ก็เลยคิดว่ามันไม่สำคัญอะไรเท่าไรนัก ที่จะอยู่ห่าง ๆ จากสิ่งเสพติด เธอจะต้องบอกว่า “ไม่!” เธอต้องบอกเขาว่า ผลเสียที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง เธอจะต้องย้ำแล้วย้ำอีกย้ำเล่า ในวิธีที่ดี ฟังเข้าใจง่าย มีเหตุมีผล เธอจะต้องบอกว่า “ไม่” โอเคไหม? อย่าเอาแต่พูดว่า “ปล่อยไปตามแบบที่เป็น” หรือ “ปล่อย ๆ ไปตามธรรมชาติ” มันไม่ใช่อย่างนั้น! เพราะเวลาที่เด็ก ๆ ออกไปข้างนอกนั้นจะมีอิทธิพลที่ไม่ดีเป็นร้อยเป็นพันรออยู่ที่นั่นทั่วทุกมุม และพวกเขาอ่อนแอ รับสิ่งที่ไม่ดีได้ง่าย!

เธอจะต้องบอกว่า ไม่ เธอจะต้องเดินไปพร้อมกับเขาทุก ๆ ก้าวตลอดทาง ทุกวัน เดินไปด้วยกันเหมือนเป็นเพื่อน โอเคไหม? และอย่าไปดุเขา สำหรับความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืออะไร ที่เขาทำ แต่ให้ให้กำลังใจเขาและบอกเขาว่า “นี่ไม่ดี เธอจะต้องหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้น มันจะมีผลต่อสุขภาพเธอ อนาคตเธอ และครอบครัวของเธอจริง ๆ” ให้เธอบอกพวกเขาว่า เธอรู้สึกไม่ดี เธอรู้สึกแย่จริง ๆ ในเรื่องนี้ เธอจะต้องบอกความรู้สึกของเธอให้พวกเขาฟัง เพราะพวกเขาเป็นเด็ก พวกเขาไม่เข้าใจ

บางทีถ้าเธอไม่พูดหรือถ้าเธอไม่เข้มงวดสักเท่าไรนัก พวกเขาก็จะคิดว่า เธอไม่สนใจด้วยซ้ำ เธอไม่สนใจว่า เขาจะอยู่หรือจะตายว่า พวกเขาจะดีหรือจะเลว พวกเขาจะรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง เหมือนไม่ได้รับความสนใจ แล้วพวกเขาก็จะยิ่งแย่ลง ๆ เพื่อที่จะให้เธอให้ความสนใจพวกเขา ดังนั้น ถ้าเธอให้ความสนใจเขาอย่างดีในสัดส่วนที่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่อย่างว่า ตามใจจนเคยตัวหรือให้ความสนใจจนเกินเลยไป แต่ให้เหมือนเป็นเพื่อน แล้วพวกเขาก็จะสามารถสารภาพทุกอย่างให้เธอฟังได้ แล้วเธอก็จะทราบว่า พวกเขาทำอะไรและจะทราบว่า เพื่อน ๆ ของเขาทำอะไร พวกเขาจะต้องวางใจเธอ พวกเขาจะต้องไว้วางใจเธอ แล้วพวกเขาก็จะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง แล้วเธอก็จะทราบว่า พวกเขาอยู่ในสภาวะใด แล้วเธอก็จะทราบว่าจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เพราะเวลาพวกเขาอยู่ข้างนอกนั่น พวกเขาอยู่เดียวดายมาก เธอคิดว่า พวกเขาเป็นลูก ๆ ของเธอ และพวกเขาได้รับความคุ้มกัน เปล่า! เวลาพวกเขาอยู่ข้างนอกที่โรงเรียน พวกเขาไม่ได้รับความคุ้มกัน บางทีพวกเขาโดนกลั่นแกล้งที่โรงเรียน และพวกเขาไม่กล้าเล่าให้เธอฟัง และบางทีพวกเขาทำอย่างนี้ ทำอย่างนั้นเพียงเพื่อจะได้ “อยู่ในกลุ่ม” ในหมู่พวกแก๊งอื่น ๆ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะถูกกีดกันออกไป โดยถือว่าเป็นพวกที่ไม่เข้าท่า คล้ายกับพวกอ่อนแอ คำกล่าวขานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้วัยรุ่นเจ็บปวดมาก

เพราะฉะนั้น เธอจะต้องบอกพวกเขาว่าอะไรดี อะไรไม่ดี และว่าคำกล่าวเหล่านี้ไม่มีค่าอะไร เธอจะต้องเป็นผู้สนับสนุนที่ดีของพวกเขาและเป็นเพื่อนพวกเขา ให้พวกเขารู้ว่า พวกเขาพึ่งพาเธอได้ว่า ไว้ใจเธอได้ โลกทั้งโลกจะได้ไม่มีความหมายต่อพวกเขาอีกต่อไป แล้วจากนั้น ผู้คนเหล่านั้นจะไม่สามารถมามีอิทธิพลต่อลูก ๆ ของเธอได้อีกต่อไป เพราะว่าสังคมที่ไม่ดีนั้นยังคงมีตัวตนอยู่ และโดยเฉพาะเด็ก ๆ นั้น ถ้าพ่อแม่เด็กอื่นไม่รู้ว่า จะสอนพวกเขาอย่างไร ลูกของเธอก็เลยจะได้รับอิทธิพลไม่ดีจากพวกเขาไปด้วย พวกเขาต่างก็ติดเชื้อความไม่ดีกับกันและกัน เธอจะต้องยืนหยัดในความคิดของตัวเอง เธอจะต้องกล่าวว่า “ไม่” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบ ต่อไปเขาจะชอบ เธอจะต้องพูดอย่างมีเหตุมีผล อย่างเต็มไปด้วยความรัก

แล้ววันแล้ววันเล่า ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ชอบ แต่มันก็จะซึมซับเข้าไป แล้ววันหนึ่ง สถานการณ์ก็จะกลับด้าน เขาจะเห็นด้านที่ไม่ดีของเพื่อนเขา แล้วเขาก็จะคิดว่า “โอ พ่อของฉันดีกว่า เขาพูดถูก ดูพวกเธอตอนนี้สิ: พวกเธอเป็นพวกขี้ยา แล้วก็เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ! พ่อของฉันพูดถูกแล้วฉันไม่อยากจะเป็นอย่างพวกเธอ!” วันหนึ่งถึงแม้ว่าเขาจะได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีมา แต่อิทธิพลของเธอก็ยังนับอยู่เช่นกันดีกว่าไม่ได้รับอิทธิพลจากเธอเลย” วันหนึ่งถึงแม้ว่าเขาจะได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีมา แต่อิทธิพลของเธอก็ยังนับอยู่เช่นกัน ดีกว่าไม่ได้รับอิทธิพลจากเธอเลย! โดยเฉพาะ ถ้าเธอมีพลังด้วย เธอจะต้องห้ามทุกสิ่งที่ไม่ดีที่ลูกอยากจะลอง ทดลองดู

ถึงแม้ว่าในเรื่องที่ละเอียดอ่อน อย่างเช่น เรื่องของทางเพศ เธอจะต้องนั่งลงคุยกับเขา บางทีพวกเขาอาจจะทราบมากกว่าเธอแล้วก็ได้ แต่เธอจะต้องทราบว่า พวกเขารู้อะไรเพื่อจะได้นำทางพวกเขาได้ อย่ารู้สึกอับอายที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ แล้วก็รอจนกระทั่งเกิดปัญหาขึ้น มันก็จะสายเกินไป รู้สึกอับอายตอนนี้ดีกว่าที่จะมาอายกันทีหลัง! พวกเขาอาจจะเสียชีวิตไปโดยได้รับโรคที่เลวร้าย

เธอจะต้องบอกพวกเขาด้วยวิธีที่เธอจะบอกตัวเอง เพราะเธอจะต้องเป็นเพื่อนกับลูกของเธอ ถ้าเธอไม่เป็นเพื่อนพวกเขาแล้ว ใครจะไปเป็นพวกเขาได้เล่า? เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ที่พวกเขาพึงมีได้ จริง ๆ แล้วเป็นเพื่อนคนเดียว ที่พวกเขาควรจะมี จนกระทั่งพวกเขาโตขึ้น แน่นอน พวกเขามีเพื่อนอื่น ๆ แต่พวกเขาล้วนเป็นเพื่อนที่มีอายุเดียวกันพวกเขาไม่รู้อะไรมาก นั่นเป็นพรรคพวกกัน แต่ไม่ใช่เพื่อน เป็นเธอต่างหากที่เป็นเพื่อน เธอเป็นคนนำทางพวกเขา เขาจะมองดูเธอ และคราวนี้ด้วยที่เธอได้ตัดแต่งตัวเองทำความสะอาดตัวเอง เธอก็จะเป็นผู้นำทางที่ยิ่งดีขึ้นไปอีก และเป็นเพื่อนที่ดีกว่า

ความรักในครอบครัวสำคัญมากสำหรับเด็ก ๆ

ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลข้างนอกนั่น พวกเขาควรจะทราบว่า พวกเขามีเธอพึ่งพาได้อยู่ตลอดเวลา และนั่นจะทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจเข้มแข็ง และรู้สึกได้รับความรัก และนั่นจะสามารถทำให้พวกเขาเอาชนะอย่างอื่นทุกอย่างได้ เพราะถ้าพวกเขาไม่รู้สึกว่า ได้รับความรัก พวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย จะไม่รู้สึกสนใจอยากทำอะไร และพวกเขาจะลองไปทั่วทุกอย่าง เพียงเพื่อกระตุ้นให้ตัวเองมีกำลังขึ้นมา เพราะฉะนั้น ความรักในครอบครัวนั้นสำคัญมากสำหรับเด็ก ๆ เธอจะต้องให้พวกเขาอย่างไร้เงื่อนไข! เข้มงวด แต่ด้วยความรัก

ก็เหมือนกับวิธีที่ฉันปฏิบัติต่อเธอ ฉันจะดุเธอเป็นบางครั้ง แต่เธอได้รับความรัก แม้ฉันดุเธอ เธอก็ทราบว่า เธอพึ่งพาฉันได้ เธอทราบว่า ฉันไม่ทำร้ายเธอ เธอทราบใช่ไหม? (ทราบ ท่านอาจารย์!) ก็เหมือน ๆ กัน มันก็เหมือนกันเวลาเธอปฏิบัติต่อลูก ๆ เธอ พวกเขาทราบว่า พวกเขาได้รับความรักอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่พวกเขาเป็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ให้พวกเขาไป การตามใจนั้น ต่างไปจากการเข้าใจและการเป็นเพื่อน

จงเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนพวกเขา ถ้าพวกเขากลับมาบ้าน มาสารภาพอะไรที่ทำไว้ไม่ดี อย่างเช่น “โอ วันนี้ฉันทำอะไรไปบางอย่างที่ไม่ดี” เธอก็จะต้องไม่ไปดุพวกเขาทันที แล้วก็บอกว่า “เจ้าเด็กไม่ดี!” เธอจะบอกว่า”ขอบใจที่เล่าให้ฟัง พ่อรู้สึกมีเกียรติมาก ที่เธอเล่าให้พ่อฟัง ถึงแม้ลูกทราบว่า มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่ดีนัก ที่เล่าให้พ่อฟัง แต่พ่อดีใจมาก ที่ลูกเล่าให้พ่อฟัง” และก็ช่วยพวกเขาไปตามแต่สถานการณ์ เพราะพวกเขาเป็นเด็ก! ถ้าพวกเขาทำความผิดพลาดไป นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเป็นเด็ก

ดูเธอสิ เติบโตขนาดนี้แล้วก็ยังทำอะไรผิดไปตั้งหลายอย่าง แล้วเด็ก ๆ จะไม่ทำผิดได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ให้นำทางพวกเขา รักพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาสารภาพสิ่งที่ไม่ดีที่ทำไป ก็อย่าไปดุพวกเขา แค่บอกพวกเขาไปว่า เธอดีใจมากและรู้สึกดี ที่พวกเขาไว้ใจเธอ นั่นจะทำให้พวกเขาเล่าให้เธอฟังมากขึ้น เพราะความผิดพลาดมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และอิทธิพลที่ไม่ดีก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอยู่ทุกหนแห่ง เพราะฉะนั้น เธอควรจะดีใจ ที่พวกเขาเล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แล้วจากนั้น ก็จัดการไปตามแต่สถานการณ์ ตัดมันออกไป ปล่อยให้พวกเขาเล่าให้เธอฟัง ให้ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนเกลอ ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า อย่าทำอย่างนั้นมากเกินไป ไม่มากเกิน!

มันเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนมาก มันไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะเหมือน ๆ กัน แต่ข้อแนะนำพื้นฐานก็คือ ให้เป็นเพื่อนๆ พวกเขาจะได้มาซบอกร้องไห้กับเธอได้ แล้วก็ไว้วางใจเธอ แล้วพวกเขาก็จะฟังเธอ ขอบคุณที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ฉันก็เลยได้โอกาสเล่าให้ทุกคนฟัง (เสียงปรบมือ)

บ1: นอกจากนี้ยังมีรายการโทรทัศน์อยู่ทุกวันนี้ที่เล่าให้เราฟังว่า จะจัดการกับวัยรุ่นและเด็ก ๆ ได้อย่างไร ตอนที่ผมเติบโตขึ้นมา เราไม่มีทักษะแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ผมคิดว่า กับลูกชายผมมันมีจุดเปลี่ยนอยู่ในวันหนึ่ง
อ:
จุดเปลี่ยน! โอเค

บ1: ผมมักจะบอกเขาว่า “ดูนี่ ยาเสพติดนั้นไม่ดี ลูกควรจะอยู่ห่าง ๆ จากยาเสพติด” แต่เขาออกไปอยู่ตลอดเวลา และบางเวลาเราจะทะเลาะกันอย่างรุนแรง แล้วภรรยาของผมก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วภรรยาผมก็จะเข้าข้างเขา แล้วผมก็จะรู้สึกเหมือนไม่มีพลัง แล้วก็จะโกรธ แล้วก็จะบอกว่า “เอาล่ะ พวกเธอ พ่อจะปล่อยพวกเธอไว้อยู่ด้วยกัน จะทำอะไรก็ตามใจ” แต่ผมจะพยายามให้คำแนะนำที่ดีกับเขาอยู่เสมอ
อ:
ฉันเข้าใจ

บ1: แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาออกไปจากบ้าน แล้วผมบอกเขาว่า”ดูนี่ พ่อไม่อยากให้ลูกออกไป ลูกออกไปทุกคืน พ่ออยากให้ลูกอยู่กับบ้าน ลูกจะออกไปวันสุดสัปดาห์ก็ได้แต่ไม่ใช่ทุก ๆ วัน”
อ:
ใช่

บ1: แล้วคืนนั้นเขาก็ออกไป ผมก็เลยยึดคอมพิวเตอร์ของเขา เอามาไว้ที่ห้องของผมแล้วก็ล็อกเอาไว้ที่นั่น พอเขากลับมา เขาก็บอกว่า “ผมจะเข้าไปในห้อง ไปเอาคอมพิวเตอร์” ก่อนหน้านี้ผมเคยดูรายการโทรทัศน์เหล่านี้อยู่วันหนึ่ง
อ:
อย่างนั้นหรือ?

บ1: ในนั้นคนฝึกกำลังสอนวัยรุ่น วิธีไม่ให้โกรธ คนฝึกอยู่ในสนามมวยกับวัยรุ่นคนนั้น แล้วเขาก็บอกวัยรุ่นคนนั้นว่า “ผมจะด่าทอเธอ ผมอยากจะให้เธอโกรธ แต่ถ้าเธอต่อยผม ก็ถือว่าเธอแพ้” ผมก็เลยใช้วิธีการนี้กับลูกชายผม ไม่ว่าเขาพูดว่าอะไรก็ตาม เขาด่าผม เขาว่าผมเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น ทุก ๆ อย่าง แต่ผมบอกว่า “ดูนี่ พ่อจะไม่โกรธ พ่อรักเธอ แต่พ่อจะไม่คืนคอมพิวเตอร์ให้จนกว่าลูกจะเลิกออกไปข้างนอก”
อ:
ฉันเข้าใจ!

บ1: เขาก็บอกว่า “แล้วจะได้เห็นดีกัน!”เขารออยู่ที่ประตู ลูกของผมคิดว่า ผมคงจะอายเกินไป แล้วก็จะยอม เพราะเพื่อนของผมจะมานั่งสมาธิในคืนวันพุธ แต่พอเพื่อนผมมา ผมบอกว่า “ดูนี่ ผมกำลังมีเรื่องถกเถียงกับลูกชายผมอยู่ที่นี่ เขาออกจากบ้านอยู่ตลอดเวลาผมก็เลยยึดคอมพิวเตอร์เขา เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะไม่ว่าอะไรขอเราไปนั่งสมาธิกันอีกห้องหนึ่งในวันนี้”

เพราะ ณ เวลานั้น เพราะว่าเขาเอาพลังออกมามาก ตอนที่เขาด่าทอผมและอะไร ๆ ผมบอกว่า “ดูนี่ พ่อได้ยินมาก่อนว่า พ่อโง่เขลา ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นอย่างนู้นอย่างโน้น แต่พ่อรักลูกและพ่อจะไม่คืนคอมพิวเตอร์ให้”
อ:
ใช่แล้ว เขาไม่สมควรจะได้รับมันคืนไป

บ1: ใช่! แล้วจากนั้น ผมเอาคอมพิวเตอร์ไปทำงานด้วย แล้วก็ทิ้งไว้ที่นั่นเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วในคืนนั้น เพราะผมไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกับเขา เขาก็เลยเอาแม่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ หล่อนอยู่ข้างผม
อ:
ฉันเข้าใจ

บ1: เราทั้ง 2 ต่างพยายามช่วยเขา และผมบอกเขาอย่างเปี่ยมไปด้วยความรักจริง ๆ และคอยบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “พ่อรักลูก” เขาบอกว่า “ผมเกลียด...” ผมบอกว่า “แต่พ่อรักลูก ๆ” ผมคิดว่า มันเป็นเพราะเขาเสียพลังจำนวนมากไปในวันนั้น จริง ๆ แล้ว ผมพูดถึงท่านให้เขาฟัง ผมบอกว่า “ดูนี่ พ่ออยู่กับท่านอนุตราจารย์มาเป็นเวลา 10 ปี ไม่คิดว่า พ่อเรียนรู้เทคนิคอะไรบางอย่างบ้างหรอกหรือ?” (ทุกคนหัวเราะ)
อ:
แล้วเขาบอกว่าอย่างไร?

บ1: พอหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาขึ้นมากมาย
อ:
อย่างนั้นหรือ?

บ1: ผมคืนคอมพิวเตอร์ให้กับเขา แต่เฉพาะหลังจากที่ทดสอบไปเป็นจำนวนมาก

อ: ฉันเข้าใจ

บ1: แล้วจากนั้นผมช่วยเขาในเรื่องของการศึกษา เพราะว่าวิชาที่เขาศึกษานั้น ผมก็เรียนจบด้านนั้นมาเช่นกัน
อ:
อา เข้าท่า!

บ1: เพราะฉะนั้น เราจึงเกิดความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาด้วยเหตุนั้น
อ:
อย่างนั้นหรือ? ดีมาก!

บ1: แล้วก็ค่อย ๆ ก่อขึ้นมาเรื่อย ๆ และทุก ๆ วัน ผมก็เห็นเขาพัฒนาขึ้น
อ: ใช่แล้ว พวกเขาอยู่ในช่วงชีวิตที่ลำบาก เป็นช่วงชีวิตที่ลำบาก ช่วงวัยรุ่นนั้น เพราะระดับฮอร์โมนจะสูง

บ1: พวกเขาได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีจากรอบข้างมาเป็นจำนวนมาก
อ:
เป็นอย่างนั้นด้วย

บ1: เด็กผู้ชายคนอื่น ๆ พวกเขาใช้ยาและทุก ๆ อย่าง และพวกเขาชอบโอ้อวด
อ:
ฉันทราบ

บ1: ผมเห็นได้ว่า เขาอยู่กับคนที่อยู่ในระดับที่ต่ำมาก เขาบังคับพวกเขาให้เป็นเพื่อนกับเขา พวกเขาไม่อยากจะคบด้วยด้วยซ้ำ แต่เขาบังคับตัวเอง บังคับสถานการณ์เพียงเพื่อจะได้คบกับคนอื่นได้
อ:
ใช่ ฉันทราบ ๆ พวกเขาทำกันอย่างนั้นตลอดเวลาในโรงเรียน เป็นแรงกดดันจากคนรอบข้าง พวกเขาจะต้องดูเข้าท่า ไม่ใช่แต่แต่งตัวแบบเดียวกัน จะต้องประพฤติตัวอย่างเดียวกันด้วย ถ้าพวกเขาดื่ม เธอก็ต้องดื่ม มิฉะนั้น เธอจะเข้าพวกไม่ได้ พวกเขาจะเอาเธอมาล้อตลกเล่นและอะไร ๆ อย่างนั้น เพียงแต่ เธอจะต้องดูให้แน่ใจว่า เขาไม่ต้องมาทนทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้โดยไม่ได้อะไรตอบแทน บอกให้เขาทราบว่า คุณค่าไม่ได้อยู่ที่การดูเข้าท่า แต่ด้วยการเป็นเด็กนักเรียนที่ดี เฉลียวฉลาด และเป็นตัวของตัวเอง

บ1: ผมสามารถเข้าถึงเขาได้ 2, 3 ครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งรถพยาบาลโทรศัพท์มาเรียก เพราะเขานอนอยู่บนถนนอาเจียน แล้วก็เมามาก วันนั้น ผมนำเขากลับมาบ้าน ผมแสดงความรักต่อเขามาก ๆ ตลอดเวลา ผมไม่ได้โกรธเขาเลย ผมบอกว่า “พ่อจะรอ จนกว่าลูกรู้สึกดีขึ้นจากนั้น พ่อจะเฆี่ยนเจ้า” (ทุกคนหัวเราะ) เพราะผมทราบว่า มันเป็นอย่างไร เวลาที่เต็มไปด้วยพิษของแอลกอฮอล์แบบนี้ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถูกตำรวจจับ และผมป่วย ผมเลยไปรับเขาไม่ได้ ผมไม่ทราบว่า เขาอยู่ที่ไหน พอวันต่อมา – เขาอยู่ในตารางในคืนนั้น - แล้วคราวนั้น ผมพูดกับเขา แล้วก็บอกว่า “ดูนี่ ลูก นี่อาจเป็นชีวิตของลูกก็ได้ ถ้าหากลูกอยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่พ่อคิดว่า ลูกทำได้ดีกว่านี้ เพราะลูกเป็นเด็กฉลาด”
อ:
เธอต้องบอกให้เขาเขียนลงไปว่า เขาอยากจะทำอะไรกับชีวิตของเขา อย่าไปบอกเขาว่า เขาอยากจะทำอะไร แต่ให้ถามว่า เขาอยากจะเลือกอะไร ว่าเขาอยากเป็นอะไร ว่าเขาอยากเป็นคนประเภทไหน

บ1: แต่เรื่องพวกนี้เป็นอดีตไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้เขาหันกลับมาแล้ว (ท่านอาจารย์: นั่นดีจริง!) เขาตั้งใจเรียนมาก เขานั่งสมาธิ
อ:
โอ้โฮ เข้าท่า!

บ1: เขามีความสุข!
อ:
โอ้โฮ ช่างเป็นเด็กที่เข้าท่าอะไรอย่างนั้น! จากลักษณะอย่างนั้น และหันกลับมาอย่างนี้ได้ ฉันภูมิใจในตัวเธอ

บ1: ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)
อ:
นั่นเป็นงานของเธอที่เธอทำไว้ ในที่สุดก็เรียบร้อยดี เรื่องครอบครัว ขอบอกเธอ!

 

การสนับสนุนจากครอบครัว
สามารถสร้างโลกที่แตกต่างให้กับเด็ก ๆ

ผู้บำเพ็ญคนที่ 2: ฉันก็ประทับจิตตอนอายุค่อนข้างน้อยเช่นกัน และก็ต้องประสบกับแรงกดดันจากคนรอบข้างเป็นจำนวนมากทุกอย่างเลยที่โรงเรียน ฉันทำมาคล้ายกับเกือบทุกอย่าง ที่เขาพูดถึง
อ:
ฉันเข้าใจ

บ2: แล้วจากนั้น ชีวิตฉันก็พลิกกลับมา เมื่อฉันนั่งสมาธิ และฉันทราบว่า ท่านอยู่เคียงข้างฉันเสมอมา ฉันทราบว่า ท่านอยู่ข้างในนี้กับฉันอยู่ตลอดเวลา แล้วชีวิตฉันก็พลิกกลับมา ฉันเริ่มนั่งสมาธิ แล้วจากนั้น ทุก ๆ อย่างในชีวิตฉันก็มหัศจรรย์เหลือเกิน ตอนที่ฉันอายุน้อยฉันไม่เดินออกไปข้างนอก และคล้ายกับว่า ฉันจะยิ้ม เพราะแดดออก และฉันรู้สึกมีอะไรมาท่วมท้นจิตใจที่มีท่านอยู่กับฉัน และฉันทราบว่า ทุก ๆ วัน ท่านจะอยู่กับฉันตลอดเวลา
อ:
แน่นอน ทุกวันเลย!

บ2: ฉันแค่อยากจะบอกให้ท่านทราบว่า ฉันเห็นค่าทุกอย่างที่ท่านทำให้กับฉันมากจริง ๆ
อ:
ฉันชอบทำอย่างนั้น และฉันรักเธอ!

บ2: ขอบคุณ ฉันรักท่านด้วย ท่านอาจารย์
อ:
เพราะเธอช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ ช่างเป็นเด็กดี

บ2: ขอบคุณท่านมากสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำ
อ:
ฉันเข้าใจเธอเช่นกัน โอเคไหม? ฉันเข้าใจพวกเธอ แล้วก็วัยรุ่นทั้งหลาย ข้างนอกนั้นหงอยเหงามาก เธอคิดว่าพวกเขามีคนเฝ้าดู พวกเขามีเพื่อน แต่พวกเขาเหงามาก พวกที่ไม่เหงาก็คือ พวกที่ก้าวร้าว พวกที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นที่โรงเรียน เหมือนเป็นพวกหัวหน้าแก๊ง และก็ทำให้เด็กอื่น ๆ ทุกคนทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แล้วก็กลั่นแกล้งเด็กอื่น ๆ อย่างเช่น “เธออ้วนเกินไป! เธอผอมเกินไป!” แล้วก็เรียกชื่อและก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเธอไม่มีค่า ว่าเธอเป็นคนที่แย่ที่สุดในชั้นเรียนและอะไร ๆ อย่างนั้น พวกเขาจะทำให้ชีวิตของเธอเป็นเหมือนนรก!

เพราะฉะนั้นพวกเธอที่เป็นพ่อ-แม่จะต้องเข้าใจว่า เด็ก ๆ นั้นมีปัญหา ไม่ใช่ว่า โยนพวกเขาไปเข้าโรงเรียน แล้วเธอก็ไม่ทำอะไร เธอจะต้องเข้าใจปัญหาพวกเขาเช่นกัน บางครั้งพวกเขาเข้าแก๊งด้วยกันเพื่อที่จะแกล้งอีกคนหนึ่ง เด็กคนเดียว แล้วพวกเขาก็จะกลับมาบ้าน แน่นอน พวกเขาก็จะหดหู่ และพวกเขาไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร และพวกเขาไม่บอกพ่อ-แม่ด้วยซ้ำ บางครั้งพวกเขาไม่สามารถอธิบายจุดประเด็นปัญหาออกมาได้ พวกเขาแค่รู้สึกแย่และก็ไม่สามารถจะเล่าให้เธอฟังได้ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ทราบวิธีที่จะเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน รวมทั้ง พวกเขารู้สึกไม่มีพลัง และพวกเขารู้สึกอายด้วยที่จะเล่าให้เธอฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอไม่ได้เป็นเพื่อนเกลอกับเขาจริง ๆ พวกเขาก็จะไม่เล่าปัญหาของเขาให้เธอฟัง เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีด้วย วัยรุ่นนั้น จะมีความภาคภูมิใจในตน มีศักดิ์ศรีมากกว่าพวกเราทุกคน นั่นคือช่วงเวลา ที่พวกเขาพัฒนาความมั่นใจในตน และก็เพื่อน ๆ ทั้งหลาย พวกที่เรียกกันว่าเพื่อนเกลอ แล้วก็เพื่อนร่วมชั้นก็จะได้แต่โยนก้อนหินใส่พวกเขา แล้วก็แน่นอน พวกเขาจะรู้สึกเหมือนถูกทำลาย

เพราะฉะนั้นเธอจะต้องอยู่ที่นั่นให้กับลูก ๆ ของเธอ เธอได้เลือกแล้วที่จะแต่งงาน ที่จะมีลูก เพราะฉะนั้นเธอจะต้องรับผิดชอบ เธอจะต้องอยู่ตรงนั้นให้กับลูก ๆ ของเธอ แน่นอน เธอนั่งสมาธิและอะไร ๆ อย่างนั้น แต่เธอก็จะต้องอยู่ตรงนั้นให้กับลูก ๆ เธอ เธอจะต้องทราบว่า มันยากมากสำหรับพวกเขา ที่จะเติบโตโดยไร้ความรักของพ่อ-แม่และครอบครัว มันเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับพวกเขามากที่จะได้รับความรัก ไม่สำคัญว่าอะไร พวกเขาจะต้องรู้สึกจริง ๆ พวกเขาจะต้องรู้สึกมันได้จริง ๆ มิฉะนั้น ที่โรงเรียนก็ถูกกลั่นแกล้ง ที่บ้านก็รู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ พวกเขาไม่รู้สึกว่า ได้รับการดูแล ถึงแม้ว่า เธอจะดุพวกเขาเป็นบางครั้ง พวกเขาก็ทราบว่า เธอดูแล แต่ถ้าเธอแค่ไม่ใส่ใจ ไม่แม้แต่ดุ แค่บอก “โอเค เธออยากทำอะไร ก็ทำไป” พอผ่านไประยะหนึ่ง ก็ไม่พูดคุยกับเขา มันก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะว่า พวกเขากำลังดำเนินชีวิตผ่านช่วงที่ยากลำบากมาก เพราะช่วงวัยรุ่นนั้นแย่ที่สุด พวกเขาเติบโตเร็วเกินไปสำหรับความเข้าใจของตัวเอง ร่างกายเติบโตเร็วเกินไป พวกเขาควบคุมร่างกายของตัวเองได้ไม่ดีนัก นั่นคือเหตุที่บางครั้งพวกเขาทำอะไรแตกหัก หรือชนสิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพราะว่า ร่างกายพวกเขาเติบโตเร็วเกินไป

วัยรุ่นทำอะไรแตกหักบ่อยมาก บ่อยกว่าเวลาที่เธอเติบโตแล้ว หรือเวลาที่ยังเด็กกว่า เพราะว่าร่างกายพวกเขานั่นเอง จริง ๆ ฉันไม่ได้ล้อเล่น! ร่างกายเขาโตเร็วมาก และสมองของพวกเขาจะรู้สึกว่าควบคุมร่างกายได้ยากลำบาก พวกเขาไม่คุ้นเคยกับมันเหมือนกับเวลาเธอมีรถคันใหม่ หรืออุปกรณ์ใหม่ มันจะใช้เวลา และนอกเหนือไปจากนั้นก็มีคำสาปแช่งย่ำแย่นั่น ฮอร์โมนพลุ่งพล่านอยู่ในตัว พวกเขาไม่ทราบว่าจะทำอะไร พวกเขารู้สึกกระสับกระส่าย

ให้ความเข้าใจ ให้ความช่วยเหลือ ให้เป็นเพื่อน เป็นคนนำทาง ให้จำไว้ว่า เธอก็เคยเป็นวัยรุ่นเช่นกัน ฉะนั้น ก็จะมีหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ทำไมสิ่งต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น ทำไมร่างกายของเราจึงรู้สึกอย่างนั้น ทำไมเธอจึงรู้สึกอย่างนี้ หรือ ทำไมเธอจึงอยากทำอย่างนั้น เธอไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง มันก็เหมือนกัน! ลูก ๆ ก็เป็นอย่างนั้น

ฉันดีใจ (ท่านอาจารย์หันไปพูดกับผู้บำเพ็ญที่กำลังแบ่งปันประสบการณ์) เธอดี แต่จะมีวัยรุ่นสักกี่คนกัน ที่ควบคุมตัวเองได้ และมีความมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น? ฉันดีใจ ที่พวกเธอเป็นเด็กดี ฉันดีใจ ที่พวกเธอเข้มแข็ง นั่นเป็นเพราะแรงกดดันทางสังคมที่โรงเรียนสามารถทำลายเด็กได้ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ เด็กบางคนเฉลียวฉลาดมาก ๆ ภายใน แต่เพราะพลังทำลายของคนที่ชอบกลั่นแกล้ง ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีพลัง จะทำให้พวกเขาเรียนตกต่ำไปด้วย หรือจะเรียนหนังสือได้ไม่ดี เพราะว่าตั้งสมาธิไม่ได้ พวกเขาจะรู้สึกหดหู่มากและไม่มีความสุข ความเฉลียวฉลาดพวกเขาจึงถูกทำลายไปด้วย

รักษาสัญญากับเด็ก ๆ อยู่เสมอ

ดังนั้น ลูกของเธอนั้นบางทีถ้าอยู่ดี ๆ การเรียนหรือเกรดตก ให้เธอทำความเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร เธอจะต้องคุยกับเขา พาเขาไปร้านกาแฟร้านโปรด นั่งอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 หรือใครคนหนึ่งด้วย แล้วแต่ว่า เขาเข้ากันได้ดีกับใคร นั่งด้วยกันกับพ่อแม่ หรือกับพ่อก่อน ถ้าเขาเข้ากันดีกับพ่อมากกว่า ก็นั่งกับพ่อก่อน แล้วก็ค่อยนั่งด้วยกัน แล้วก็กลับบ้าน แล้วถ้าเขาบอกให้เธอเก็บไว้เป็นความลับก็ต้องเก็บ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะรักษาสัญญากับเด็ก ถ้าเธอบอกว่า จะซื้ออะไรบางอย่างให้ แล้วสัญญา เธอก็ต้องทำ ถ้าเธอไม่ทำ เธอจะต้องมีข้ออ้างที่ดียิ่ง! มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่ไว้ใจเธอ ถ้าเธอปล่อยความลับรั่วออกไปโดยไม่ได้บอกเขาก่อน เขาก็จะไม่ไว้ใจเธออีก

การเลี้ยงดูครอบครัวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฉันดีใจ ที่พวกเธอจำนวนมากทำได้ดี ฉันสามารถเห็นได้ว่า ครอบครัวเธอเป็นเด็กดี ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในชีวิต แต่เพราะเธอ เธอให้การสนับสนุน และนำพวกเขามาสู่ทางที่ดี พวกเขาจึงออกมาดี และสามารถแล่นใบผ่านน้ำเชี่ยวได้อย่างง่ายดาย นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะเลี้ยงดูลูกเธอให้เติบโต นั่นดีมาก ฉันขอแสดงความยินดี มันดีสำหรับทั้งครอบครัว “เหมารวมเป็นชุด” ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก ฉันภูมิใจมาก (เสียงปรบมือ)

พวกเราต่างก็มีข้อเสีย แค่พยายามไป ถ้าเธอสังเกตตัวเองได้ ก็ให้พยายามแก้ไข มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ เรื่องใหญ่โตจะดูแลจัดการตัวมันเอง รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น สำคัญมากเพื่อแสดงว่า เธอใส่ใจ อย่างเช่น ถ้าเธอนั่งอยู่กับลูก ๆ สัก 2, 3 ชั่วโมงแล้วก็พูดคุย หรือเล่นด้วยกันกับสิ่งต่าง ๆ มันจะสำคัญกับพวกเขามากกว่าที่เธอซื้อของเล่นใหญ่โตให้พวกเขา แล้วก็ทอดทิ้ง ไม่พูดคุยกับพวกเขา ให้ยืนหยัดในความคิดของตนเอง อย่าไปตามใจพวกเขา เหมือนกับเด็กคนนั้น ที่นิสัยแย่เกินไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่เธอทำนั้นดี เธอจะต้องเข้มแข็ง เวลาที่เธอต้องเข้มแข็ง พวกเขาต้องทำตัวให้ควรค่า เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่เหมือนกับว่า ซื้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองต้องการ และก็ไม่นำทางพวกเขาในทางศึกษา นั่นเป็นสิ่งที่แย่มาก ๆ ! ใช่ไหม? เด็ก ๆควรเรียนรู้คุณค่าของการคิดอย่างสูงส่งและการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

กลับคืนสู่ความสุขที่พระเจ้ามอบให้ มองไปข้างหน้า อย่าถอยหลัง

ผู้บำเพ็ญคนที่3: ท่านอาจารย์ อยากจะขอขอบคุณสำหรับพรทั้งหลายที่ท่านให้มา เพราะตอนที่ผมอายุน้อย ผมเป็นทุกข์มาก ตอนที่อยู่ที่โรงเรียนและในครอบครัว แต่ในปีหลัง ๆ ที่ผ่านมา ผมได้รับพรมากมาย มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน และเดียวนี้ผมมีความสุขมาก
อ:
เธอมีความมั่นใจขึ้นหรือเดี๋ยวนี้? (บ3:ใช่) มันอาจจะทำลายเธอได้ รู้ไหม ฉันขอบอกเธอ ถ้าชีวิตวัยเด็กนั้นแย่มาก มันจะมีผลกระทบต่อเธอไปตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ในช่วงวัยเด็ก มันจะเป็นการยากที่จะได้รับความมั่นใจคืนมา โดยเฉพาะพวกเขาโหดร้ายกันมากที่โรงเรียน บางคนเป็นพวกระดับโลกอสูร พวกเขาจะมากลั่นแกล้งเธอ แล้วทำให้เธอรู้สึกเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถึงแม้ว่าบางทีเธอไม่ได้หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ในสายตาพวกเขา เธออัปลักษณ์ หรือพวกเขาอยากจะให้เธอรู้สึกอัปลักษณ์ เพราะพวกเขาหน้าตาอัปลักษณ์กว่าเธอ แล้วจากนั้น พวกเขาก็จะคอยพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้เธอรู้สึกอัปลักษณ์จริง ๆ ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้อัปลักษณ์ก็ตาม มันเป็นผลทางจิตวิทยา มันมหาศาล

ฉันมิอาจจะเน้นได้มากเพียงพอว่า เธอจะต้องให้ความรัก และนำทางลูก ๆ ของเธอมากมายขนาดไหน ฉันมิอาจจะเน้นได้มากพอ เธอจะต้องเข้าใจ เอาล่ะ ข้อแรก ให้ลืมไปเสีย คนบางคนโง่เขลามาก พวกเขาไม่เห็นค่าของคนอื่น หรือพวกเขาอิจฉาริษยาเธอ บางทีเธอเฉลียวฉลาดกว่า หรือมีพ่อแม่ที่ร่ำรวยกว่า หรือเธอมีบ้านที่ดีกว่า หรือแม้แต่มีแฟนชายที่ดีกว่า หรือหน้าตาดีกว่า แล้วจากนั้น พวกเขาก็จะวางแผนทำลายเธอ แต่เพราะเธอเป็นเด็ก เธอก็ไม่เข้าใจอะไรมาก

รวมทั้งเธอก็เป็นคนใจดี ส่วนใหญ่เด็กที่ถูกกลั่นแกล้งจะเป็นเด็กดี ๆ เพราะพวกที่เลวร้ายทั้งหลายจะไปกลั่นแกล้งคนอื่น และเด็กดี ๆ ก็จะเงียบ ๆ ศึกษา ทำการบ้านไป และไม่ทำอะไรที่ไม่ดี พวกเขาได้แต่ดีเกินไป จนไม่ทราบว่าจะป้องกันตัวเองอย่างไร นั่นคือปัญหา

ดีแล้วที่เธอได้รับความสุขของเธอคืนมา เธอควรค่าที่จะได้มัน ทุกคนควรค่าที่จะได้รับความสุข และถ้าเธอไม่มีความสุขนั่นก็คือปัญหาของเธอ เธอจะต้องดูว่า ทำไมเธอจึงไม่มีความสุข มันเป็นช่วงชีวิตใดที่รบกวนใจเธอ ครั้งหนึ่งที่ฉันอยู่ที่ฝรั่งเศส มีหญิงคนหนึ่งคอยบอกฉันว่า เขารู้สึกแย่ขนาดไหน เพราะว่าสามีของหล่อนและเพราะครอบครัว และมันไม่ใช่อะไรที่จัดการได้ยากเย็นขนาดนั้น แต่หล่อนคอยบ่นให้ฉันฟัง ถามฉัน ฉันก็เลยบอกหล่อน แต่หล่อนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ฉันเลยบอกหล่อนว่า “โอเค รู้อะไรไหม? ถ้าเป็นฉัน ฉันจะมองดูชีวิต ชีวิตของตัวเอง ช่วงใดก็ตามที่รบกวนใจฉัน อะไรก็ตามที่ทำให้ฉันไม่มีความสุข ฉันจะทิ้ง ๆ มันไปเสีย”

หล่อนก็บอกว่า “อะไรนะ? จริง ๆ หรือ? ทุกอย่างเลยหรือ?” ฉันบอกว่า “อะไรก็ตามแต่!” หล่อนก็บอกว่า “คือว่า สามีหรือ?” ฉันบอกว่า “ถ้าสามีรบกวนใจฉัน ฉันก็จะขายเขาทิ้งไปเสีย! (ทุกคนหัวเราะ) ถ้ารถก่อปัญหา ฉันก็จะขายรถไป ถ้าบ้านเดือดร้อนใจฉัน ฉันก็จะขายบ้านไปเสีย” ตอนแรกฉันบอกว่า “ถ้ารถกวนใจฉัน ฉันก็จะขายรถ” และฉันก็บอกว่า “ถ้าบ้านทำให้ฉันเดือดร้อนใจ ฉันก็จะขายบ้านไป” แล้วจากนั้นหล่อนก็บอกว่า “แล้วสามีล่ะ?” ฉันก็บอกว่า”ถ้าสามีกวนใจฉัน ฉันก็จะขายสามีไป!” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) มันใช้เวลา ในเรื่องของสามีนั้น มันยากกว่า แต่ไม่ใช่อะไร ที่ทำไม่ได้

มันเป็นเรื่องตลก แต่มันทำให้เกิดขึ้นได้ ทำไมจะต้องปล่อยตัวเองให้เป็นทุกข์อยู่ด้วยเล่า? บางทีเธออาจไม่สามารถขจัดมันไปได้ในตอนนี้ แต่ก็วางแผนได้ ให้พยายามมองไปข้างหน้า ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน เด็ก ๆ ทั้งหลาย ถ้ามีใครมาก่อกวนเธอ เธอจะต้องกลับบ้านไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง ให้ตรงไปตรงมา ให้บอกพ่อแม่ เพราะพวกเขาจะช่วยเธอ เธอจะต้องบอกพวกเขา ถ้าบอกเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าจะพูดว่าอย่างไร เป็นสิ่งที่พูดยาก ก็ให้เขียนเป็นจดหมาย! ให้คิดว่าอยากจะพูดว่าอะไร แล้วก็เขียนลงไป การเขียนนั้น ง่ายกว่าการพูดเป็นบางครั้ง เพราะว่าเธอมีเวลาที่จะคิดนานกว่า แล้วก็จัดความคิดของเธอให้เป็นรูปร่าง เพราะเวลาเป็นเด็ก มันเป็นการยากที่จะพูดเป็นบางครั้ง และเวลาเธอมีอารมณ์มากเกินไปเวลาพูด เธอก็จะไม่สามารถแสดงคำพูดออกมาได้ เพราะฉะนั้น บางทีให้คิดว่า เธออยากจะบอกปัญหาให้กับพ่อแม่ฟังว่าอย่างไร แล้วก็เขียนลงไป แล้วก็เอาให้พวกเขา

 

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน ๆ