การพัฒนาทางบวกในโลก

 

สันติภาพ
กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

โดยกลุ่มข่าวฟลอริด้า (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

ในวันที่ 20 ธันวาคม ปีทองปีที่ 2 (2548) สหประชาชาติได้ตั้งคณะกรรมการสร้างสันติภาพอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้เล่นบทบาทเป็นสื่อกลางในการตกลงสันติภาพมากมาย ซึ่งได้ประสบความสำเร็จทั่วโลกในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ คณะกรรมการใหม่นี้จะทำให้มีการรักษาข้อตกลงเหล่านี้ในอนาคตเป็นระยะเวลานาน หลังจากที่สื่อนานาชาติและสาธารณชนโดยทั่วไปได้หันเหความสนใจของพวกเขาไปสู่ที่อื่น[1]

ตามรายงานของความมั่นคงและปลอดภัยของมนุษย์ ปีทองปีที่ 3 (2549) สหประชาชาติได้มีบทบาทสำคัญในการลดสงครามอย่างรวดเร็วในระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ผู้รอบรู้จำนวนมากในขณะนี้ กำลังทำนายจุดจบของสงครามในโลก สิ่งนี้อาจจะฟังดูน่าประหลาดใจ ซึ่งมีการเพิ่มข่าวของเหตุการณ์นานาชาติ อย่างไรก็ตาม จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ระยะยาว โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพและความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีมาก่อน.[2]

ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ จำนวนของสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในโลกได้ลดลงมากกว่า 50% สงครามระหว่างประเทศพัฒนาได้ยุติลงอย่างมีนัยสำคัญ และการใช้จ่ายของกองทหารทั่วโลกต่อหัวได้ลดลง ยิ่งไปกว่านั้นสันติภาพกำลังเป็นวัตถุประสงค์หลักของหลาย ๆ รัฐบาล ทั่วโลกมีอยู่ 27 ประเทศได้จำกัดกำลังทหารลงพร้อมกัน การลงโทษประหารชีวิตถูกห้ามใน 100 กว่าประเทศและจำนวนนี้ก็ กำลังเพิ่มขึ้น ทุกๆ ปี จำนวนของประเทศที่เข่นฆ่ากลุ่มเผ่าพันธุ์ได้ ลดลง ครึ่งหนึ่ง ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ ในขณะที่จำนวนของประชาธิปไตยได้ เพิ่มขึ้น 50 % นับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา และประเทศประชาธิปไตยเกือบจะไม่ทำสงครามซึ่งกันและกัน ประเทศจีนซึ่งไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ก็ได้ตกลงที่จะพัฒนาอย่างสันติ โดยปราศจากค่าใช้จ่ายทางทหารจำนวนมาก

อฟริกา

ประธานาธิบดีแห่งไนบีเรีย แอลเลน จอห์นซัน เซอร์ลีฟ

ในวันที่ 5 พฤษภาคม ปีทองปีที่ 3 (2549) ผู้นำกบฏซูดานคนสำคัญได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลของซูดาน ซึ่งเป็นการยุติสงคราม 3 ปีในภูมิภาคดาร์ฟูร์ของซูดาน

ดาร์ฟูร์เป็นภูมิภาคขนาดประมาณประเทศฝรั่งเศส ได้เกิดสงครามกลางเมืองในต้นปีพ.ศ. 2546 การต่อสู้ได้ทำให้คนตายอย่างน้อย 180,000 คนและผู้ไร้ที่อยู่อาศัย 2.4 ล้านคน

ช่วงเวลาแห่งการพูดคุยกันอย่างเข้มข้นได้เกิดขึ้นก่อนการเซ็นสัญญาข้อตกลงสันติภาพ และเส้นตายจำนวนมากได้มาและไป อันที่จริงแล้วไม่เป็นที่ทราบเลย จนกระทั่งพิธีลงนามในวันที่ 5 พฤษภาคม ว่าผู้นำกบฎจะลงนามหรือไม่ ในระหว่างนั้นก็มีความเสี่ยงที่จริงจัง ว่าจะมีสงครามกลางเมืองในประเทศเพื่อนบ้านคือแช็ค และจุดประกายไฟแก่กลุ่มแบ่งแยกตะวันออกกลาง เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นหลังจากแรงกดดันของทูตแอฟริกา อเมริกา และยุโรป ผู้นำกบฎก็ตกลงที่จะลงนามสันติภาพ

ข้อตกลงนี้ได้เป็นจุดหักเหที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของแอฟริกาตะวันออก เนื่องจากต้นกำเนิดของสงครามในภูมิภาคดาร์ฟูร์ได้ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 13 เมื่อโนมาดิก ที่เลี้ยงวัว แพะ แกะ เพื่อเอาเนื้อ ได้ย้ายเข้าไปในบริเวณนี้ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของชาวนา การต่อสู้ได้เกิดขึ้นและได้ดำเนินต่อไประหว่างชาวนาท้องถิ่นนับแต่นั้นมา ขณะนี้ในที่สุดก็มีความหวังอันแท้จริงสำหรับผู้นำกบฎที่จะเข้ารวมกับรัฐบาลซูดาน และการบูรณะฟื้นฟูดาร์ฟูร์ขึ้นใหม่ด้วยการช่วยเหลือจากชุมชนนานาชาติ

สนธิสัญญาสันติภาพในทำนองเดียวกันนี้ได้มีการลงนามในเดือนพฤษภาคม ปีทองปีที่ 2 (2548) ในบุรุนดี ซึ่งเป็นการจบสงครามกลางเมืองอันยาวนานในประเทศนั้น ทั้งสนธิสัญญาบุรุนดีและซูดานประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่แล้วมาจากการเข้าไปเกี่ยวข้องของสหภาพแอฟริกา (เอยู) ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2545 โดยทำตามแบบสหภาพยุโรป ท้ายที่สุดเอยูก็หวังที่จะมีเงินตรากลางแอฟริกาของตนเอง มีกำลังทางทหาร และสถาบันอื่น ๆ เพื่อพยุงสันติภาพทั่วแอฟริกา

ในเดือนพฤศจิกายน 2548 เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ได้เกิดขึ้นในไนบีเรีย ซึ่ง แอลเลน จอห์นซัน เซอร์ลีฟ ได้กลายเป็น ประธานาธิบดีหญิงคนแรกในแอฟริกาผลของการเลือกตั้งเป็นที่เด่นชัดมากเพราะว่า ไนบีเรียเพิ่งหลุดออกมาจากความเป็นเผด็จการและสงครามกลางเมือง แม้จะมีการคาดหวังทั้งหลายก็ตาม จอห์นซัน เซอร์ลีฟ อดีตเจ้าหน้าที่สหประชาชาติและเจ้าหน้าที่ธนาคารโลก ซึ่งเป็นที่เคารพอย่างสูงของชุมชนนานาชาติก็ชนะผู้สมัครรับเลือกตั้งชายที่เป็นที่นิยมในการเลือกตั้ง ซึ่งชาวไนบีเรียจำนวนมากได้ยืนทั้งวันในความร้อน เพื่อที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สิ่งที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ ความจริงที่ว่า ขั้นตอนนั้นมีสันติ และไม่มีความรุนแรงหรือการคอรัปชั่นซึ่งเป็นเครื่องหมายของการเลือกตั้งไนบีเรียในอดีต การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นเครื่องหมายแห่งความก้าวหน้าทางการเมืองในแอฟริกา

ยุโรป

หลังจากหลายศตวรรษแห่งความขัดแย้ง ซึ่งในที่สุดลงท้ายด้วยสงครามโลก 2 ครั้ง ขณะนี้ยุโรปได้มีช่วงเวลาแห่งสันติภาพที่ต่อเนื่อง และได้ก่อตั้งสถาบันเพื่อให้มีสันติภาพที่ถาวรสำหรับอนุชนในอนาคต สิ่งหนึ่งนั้นก็คือสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งได้เริ่มต้นในฐานะพันธมิตรทางการค้าในปีพ.ศ.2493 และพัฒนาเป็นประเทศที่แบ่งแยกแต่พึ่งพาซึ่งกันและกัน แบ่งปันอุดมการณ์ร่วมกันและเปิดพรมแดน สหภาพยุโรปให้การสนับสนุนดั้งเดิมแก่สหประชาชาติ และจ่ายเงินให้กับงบประมาณสหประชาชาติเกือบครึ่งหนึ่ง

สหภาพยุโรปได้ให้แรงบันดาลใจไม่เพียงแค่เป็นองค์กรแบบอย่างสำหรับกลุ่มอื่น ๆ อย่างเช่น สหภาพแอฟริกา แต่ยังได้ให้แรงกระตุ้นแก่ประเทศ ในการมุ่งเข้าหาสันติภาพ ยกตัวอย่าง ในต้นปี 2513 ประเทศกรีก โปรตุเกส และสเปน ต่างก็ปกครองโดยเผด็จการทางทหาร แต่ทุกประเทศก็ได้กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สงบสุข เพื่อที่จะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปแบบเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในประเทศตุรกีขณะนี้ ซึ่งได้ยกเลิกโทษตาย พัฒนาสิทธิมนุษยชน และเริ่มต้นปรับปรุงรัฐบาลเพื่อที่จะให้ได้รับการยอมรับเข้าร่วมในสหภาพยุโรป

ะวันออกกลาง

 
เจ้าหน้าที่ตำรวจชาวอินเดีย (คนขวา) ให้การต้อนรับคนขับรถบัสชาวปากีสถาน ณ พรมแดนอินเดีย ปากีสถาน

ในเดือนธันวาคม 2548 ประชาชนชาวอีรักได้เข้าร่วมในการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศ ผู้สังเกตการณ์นานาชาติรู้สึกทึ่ง ในผลที่ออกมา (70%) รวมไปถึงการเลือกตั้งที่มีสันติและเป็นระเบียบ ระหว่างนั้นในสหรัฐ นักวิทยาศาสตร์การเมืองรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่อต้านสงคราม ในปี 2548 หลังจากที่มีคนอเมริกันตายเพียง 1,500 คน

การวิจัยได้บ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้คนมีความอ่อนไหวมากขึ้นต่อความรุนแรง มากยิ่งกว่าความขัดแย้งในอดีต อย่างเช่น สงครามเวียดนาม ผู้คนยังได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ด้านลบอื่น ๆ ของสงคราม อย่างเช่น ความเครียดทางจิตใจในภายหลัง (PTSD) ซึ่งไม่ได้ถูกพูดถึงด้วยซ้ำในอดีต นักวิจัยได้สรุปว่า ผู้คนกำลังพัฒนาความเกลียดสงครามพื้นฐาน[3] มีเครื่องหมายแห่งสันติภาพอื่น ๆ ไปทั่วตะวันออกกลาง กบฎมุสลิมในเยเมนและอัลจีเรีย เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เลิกทำสงครามไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งก่อนหน้านี้กินเวลาหลายสิบปี ในอิสราเอลซึ่งเป็นศูนย์กลางของหนึ่งในความขัดแย้งทางภูมิภาคที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ในเดือนสิงหาคมปี 2548 นายกรัฐมนตรีก็ได้ถอยทัพด้วยความสมัครใจจากฉนวนกาซาร์ ซึ่งเป็นพรมแดนที่ครองมาตั้งแต่ปี 2510 เรื่องนี้เป็นข้อเสนอทางสันติภาพที่โดดเด่นล่าสุดที่อิสราเอลได้ทำต่อชาวปาเลสไตน์ในช่วงไม่กี่ปีนี้

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีทองปีที่ 3 (2549) ช่างเทคนิคชาวสหรัฐได้บินไปที่ลิเบียเพื่อช่วยลิเบีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูตัวสำคัญของสหรัฐ ได้เริ่มต้นยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพและเคมี ในปีพ.ศ. 2546 และเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติเข้าไปช่วยทำลายอาวุธสะสมที่หลงเหลืออยู่

ความสัมพันธ์ของปากีสถานและอินเดียซึ่งเกือบจะล่มลงในสงครามในปีพ.ศ. 2545 แต่ประเทศทั้งสองได้มีผู้นำคนใหม่ซึ่งต้องการสันติภาพ เส้นทางรถโดยสารและรถไฟข้ามพรมแดนจำนวนมากได้เปิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ และในวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 นายกรัฐมนตรีของอินเดียได้เริ่มต้นเส้นทางเดินรถโดยสารใหม่ระหว่างอินเดียและปากีสถาน เขายังได้เสนอความหวังของสนธิสัญญาสันติภาพที่กว้างขวางระหว่างประเทศทั้งสองด้วย

อเชีย

ประเทศจีนได้ประกาศนโยบายสันติภาพซึ่งประกอบไปด้วย การพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ทางการทูตมากกว่าทางสงคราม รัฐบาลจีนได้ทำตามโดยยุติความขัดแย้งทางพรมแดน และได้ลงนามในสนธิสัญญาที่เป็นบวกมากมายและข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ แม้ว่า เศรษฐกิจของประเทศจีนจะเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง แต่ประเทศจีนก็ได้หลีกเลี่ยงความเป็นปรปักษ์กับคนอื่น ๆ โดยการเน้นความถ่อมตนและความเคารพต่อประเทศอื่น ๆ การทำเช่นนี้เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความก้าวร้าวทางทหารที่มีในอดีต ผลที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ คือ ประเทศที่มีอำนาจสำคัญของโลกได้รับสันติภาพโดยที่ไม่มีการสร้างกำลังทหารขนาดใหญ่ นโยบายสันติภาพได้มีผลในการยกระดับการพูดคุยกันในนโยบายต่างประเทศทั่วโลก

ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 รัฐบาลเนปาลได้ประกาศหยุดยิง และได้เริ่มต้นพูดคุยในเรื่องสันติภาพกับกบฎเมาอิส ซึ่งเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่มีมา 10 ปี ในอินโดนีเซีย ซึ่งมีสัญญาสันติภาพในทำนองเดียวกันนี้ ได้ยุติสงครามกลางเมืองที่มีมายาวนาน 10 ปี ได้มีการลงนามในฟินแลนด์ในเดือนสิงหาคม 2548

ในเดือนมิถุนายน 2549 ที่จะมาถึงนี้ อดีตประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ คิมแดจุง มีหมายกำหนดการที่จะไปเยือนเกาหลีเหนือ เพื่อพบกับประธานาธิบดี คิมจองอิล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้เดินทางไปเยือนทำนองเดียวกันนี้เมื่อปี 2543 ซึ่งได้เปิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกาหลีทั้งสอง

เป็นครั้งแรกในครึ่งศตวรรษ ซึ่งทำให้ คิมแดจุง ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ ปี 2543 นับแต่นั้นเป็นต้นมาเกาหลีใต้ได้ดำเนินนโยบายพระอาทิตย์ส่องแสง ในการให้ความช่วยเหลือเกาหลีเหนือโดยที่ไม่หวังโค่นล้มรัฐบาล นโยบายเสรีของประธานาธิดี คิมแดจุง ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลจากผู้นำทหารต่างชาติ แต่เขาได้รับความเชื่อใจจากผู้คนทั้งในเกาหลีเหนือและใต้ สำหรับความมีเหตุผลที่ดี ความจริงใจ และความสงบเยือกเย็น ผลอันหนึ่งก็คือ ครอบครัวสามารถเดินทางข้ามพรมแดนที่ได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนาที่สุดในโลก เพื่อไปรวมตัวกับครอบครัวของพวกเขาเป็นครั้งแรกในหลายปีที่ผ่านมานี้ เป้าหมายขั้นต่อไปของ คิมแดจุง ก็คือการเดินทางพบปะในช่วงเดือนมิถุนายนโดยทางรถไฟที่ไม่สามารถทำได้มาก่อน ดังนั้น เพียงแค่พรมแดนได้ผ่อนคลายลง อย่างเช่น อินเดียและปากีสถาน อ่าวที่แต่ก่อนนี้ได้แบ่งเกาหลีเหนือและใต้ก็กำลังค่อย ๆ เชื่อมต่อกันโดยสะพานแห่งความเชื่อใจ
ประธานาธิบดีของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ปี 2543
คิมแดจุง

กัมพูชา

 
กษัตริย์ของกัมพูชา

หนึ่งในเรื่องสันติภาพที่โดดเด่นในเอเชียได้เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา ในปี 2513 ชาวกัมพูชานับล้านคนได้ตายในสงครามกลางเมือง หลังจากที่รัฐบาลได้ล่มลงในที่สุด สหประชาชาติก็ได้ตั้งรัฐบาลที่ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่แข่งกัน 2 คน รวมทั้งกษัตริย์ด้วย มีน้อยคนที่เชื่อว่า รัฐบาลเช่นนั้นจะยั่งยืนได้ และรัฐบาลก็เกือบจะล่มสลายลงในปี 2540 แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่มันสามารถดำเนินต่อไปได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งได้เป็นผู้นำ และยอมให้นายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งอยู่ในรัฐบาลต่อไป ในขณะที่ให้ความเคารพอย่างสูงต่อกษัตริย์

ความสมดุลอันไม่น่าเป็นไปได้นี้ ทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งสันติภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเติบโต และการท่องเที่ยวพัฒนาขึ้นได้ ขณะนี้เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีความทรงจำแห่งสงครามก็ได้เกิดขึ้นในที่สุด กัมพูชากำลังเปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ทุกข์ยากที่สุดเป็นประเทศที่งดงามและมีสันติภาพที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่มีความรุนแรงในอดีต กัมพูชาก็เป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ยกเลิกการลงโทษถึงตายอย่างสิ้นเชิงในรัฐธรรมนูญของประเทศ

ความคิดในเรื่องสงครามโดยตัวของมันเองแล้ว ครั้งหนึ่งเคยเป็นความคิดพื้นฐานของสังคมมนุษย์ก็กำลังเป็นความคิดที่ล้าสมัย สังคมที่ครั้งหนึ่งเคยยกย่องบูชานักรบและเต็มใจที่จะส่งลูกหลานของพวกเขาไปทำสงคราม ในขณะนี้ได้ตั้งคำถามขึ้น ความคิดแบบใหม่ได้ผุดขึ้นมา: สหภาพนานาชาติ พันธมิตร และองค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐบาล (NGO) กำลังทดแทนจักรวรรดิ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำสงครามมากกว่าพันปี การเกิดขึ้นของสันติภาพได้มาถึงแล้ว [4 , 5 ]

ส่งหน้านี้ให้เพื่อน ๆ