อาจารย์กล่าว

 

 

ทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็คือ
อิสรภาพ
ในการรู้จักพระเจ้า

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ เฮลซิงกิ ฟินแลนด์
30 พฤษภาคม 2542 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีทัศน์เบอร์ 663

 

ประเทศช่างสดชื่น อากาศสะอาด และทุกอย่างรู้สึกดีมากในหัวใจ แม้กระทั่งน้ำจากก๊อกน้ำ เธอก็สามารถดื่มได้ มันสะอาดมาก ฉันได้ดื่มมันเมื่อเช้านี้ ฉันหวังว่าคงจะโอเคนะ!

ฉันถามคนว่า ฉันสามารถดื่มน้ำนี้โดยตรงได้ไหม พวกเขาก็บอกว่า “ได้ ได้” ฉันมีความสุขมาก และฉันก็ดื่มทันที สำหรับฉันน้ำในประเทศที่เธอสามารถดื่มได้โดยตรงจากก๊อกน้ำ มันเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่เพราะว่า มันรู้สึกว่ามันมีมากมาย รู้สึกว่า เธอสามารถดื่มได้ตลอดกาลและไม่ต้องกังวล ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ว่าน้ำในทุกประเทศจะสามารถดื่มได้ น้ำของหลายๆ ประเทศมีมลพิษมาก เธอจะต้องจำกัดตัวเองกับขวดเล็กๆ และฉันรู้สึกว่าถูกจำกัดมาก ทุกอย่างที่เราสามารถใช้ได้อย่างอุดมสมบูรณ์ เราก็จะรู้สึกอิสระและมีความสุขมากๆ

ในทำนองเดียวกัน ถ้าหากเราสามารถใช้พระพรของพระเจ้าซึ่งอยู่ภายในตัวเรา เราก็จะรู้สึกอิสระมากๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องสวดขอพระพรของพระเจ้าด้วยซ้ำ มันจะมีอยู่ที่นั่นเสมอ อย่างอัตโนมัติ และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการบอกให้เธอทราบ ซึ่งก็คือเสรีภาพ เสรีภาพซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันในโลกนี้ เว้นเสียแต่ว่า เราจะได้รู้จักพระเจ้า เว้นเสียแต่ว่า เราจะได้รู้จักเสรีภาพภายใน ปิติสุข และพระพรภายใน เธอโชคดีที่อาศัยอยู่ในประเทศเสรี อย่างเช่น ฟินแลนด์ และเราก็สามารถนั่งด้วยกันและพูดเกี่ยวกับเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ในขณะที่เรายังคงทำงานในชีวิตที่เป็นวัตถุนี้

เสรีภาพนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นทรัพย์สมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราจะสามารถขอได้ บางครั้งฉันรู้สึกอยากจะระเบิดอยู่ข้างใน และฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้คนทราบอย่างไร เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในชีวิตของฉันก่อนหน้านี้ และมองดูชีวิตของฉันในขณะนี้มีความแตกต่าง 360 องศา ฉันผูกมัดมาก จำกัดมากโดยตัวของฉัน โดยสัญญานานาชนิด โดยอคติสารพัดชนิด โดยความคิดแบบประเพณีดั้งเดิมทั้งหลายและวิถีชีวิต ซึ่งแม้ว่าฉันจะอยู่ในประเทศที่เสรีเป็นประชาธิปไตย ฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่าเสรีเลยจริงๆ และแม้ว่าฉันได้เห็นแค่แว๊บหนึ่งของพระเจ้าและได้ลิ้มรสการรู้แจ้งเป็นครั้งแรก ฉันก็คิดว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นอิสระแล้ว!” ฉันรู้สึกว่าเป็นอิสระ แต่นั่นก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเสรีภาพ จนกระทั่งฉันได้ตระหนักในเสรีภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ และมันก็เติบโตขึ้นๆ จนกระทั่งฉันไม่สามารถอธิบายได้ว่า เสรีภาพที่แท้จริงคืออะไร ฉันเพียงแต่รู้ว่า ฉันเป็นอิสระ

และเมื่อฉันมองดูพี่ชายพี่สาวของเราบางคน ซึ่งยังคงอยู่ในชั้นที่ฉันเคยอยู่มาก่อน ฉันก็รู้สึกเสียใจ เพราะว่า เสรีภาพนี้เราทุกคนสามารถบรรลุได้ แต่ไม่ใช่ว่า พวกเราทุกคนจะมีมัน แม้กระทั่งสำหรับคนที่รู้แจ้งก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งที่จะได้เสรีภาพอันสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่เสรีภาพภายนอก และไม่ใช่การกระทำภายนอก อย่างเช่น จะต้องเต้นไปรอบๆ หรือตะโกนในท้องถนน หรือสนับสนุนเสรีภาพของเธอภายใน มันเป็นเพียงความรู้สึกภายในที่ไร้ขีดจำกัดจากการแผ่ขยาย ซึ่งเธอสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ และทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ แต่เธอก็ยังคงอยู่ในคุณธรรม เธอยังคงอยู่ในความรักของพระเจ้า เธออยู่ในความสมบูรณ์และจะไม่มีใครที่ถูกทำร้าย ถูกฆ่า หรือถูกกดขี่ในรูปแบบใดๆ ด้วยการบรรลุในเสรีภาพของเรา

เราทำงานอย่างหนักทุกวัน เพื่อให้ได้รับเสรีภาพแห่งการมีชีวิตอยู่ เสรีภาพแห่งการอยู่รอด เพียงเพื่อเราจะสามารถมีอาหารพอเพียง และมีสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นพอเพียง เพื่อดูแลชีวิตทางวัตถุของเรา ดังนั้น มันจึงเกี่ยวกับเงื่อนเวลา เนื่องจาก เรามีทุกอย่างอยู่แล้วสำหรับความสบายทางวัตถุนี้ มันจึงเป็นเรื่องเวลาที่เราทำงาน เพื่อเสรีภาพทางจิตวิญญาณของเรา มันเป็นฤดูใหม่ ฉันคิดว่า เราสามารถเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ได้ และฉันมาเพื่อมอบหนทางใหม่ๆ เสรีภาพที่ได้ค้นพบใหม่ ซึ่งเธอจะไม่มีวันเสียใจอีก และเธอไม่เคยได้พบมาก่อน ไม่ว่าเธอจะมีเงินมากเพียงไร ทุกคนมอบสิ่งที่เขามี ดังนั้น ฉันจึงมอบสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันมีให้กับเธอ

เสรีภาพทางจิตวิญญาณเป็นอิสระอย่างแท้จริง

การมอบนี้จะไม่ทำให้เธอเสียเงินทองอย่างใดทั้งสิ้น ไม่แม้กระทั่งความพยายาม เพราะว่า เรามีอยู่ภายในตัวเราแล้ว ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือเพียงแต่ใช้มัน มันถูกกว่าน้ำที่ฉันดื่มเมื่อเช้านี้ด้วยซ้ำ แม้ว่า เราจะไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำ เราก็ยังต้องจ่ายค่าภาษี เพื่อทำท่อ และหอคอยเก็บน้ำ และทุกอย่าง แต่การดื่มน้ำแห่งชีวิต-ซึ่งหมายถึงน้ำแห่งพระพรของพระเจ้า-เราไม่ต้องจ่ายแม้แต่เพ็นนีเดียว! และมันใช้เวลามากเท่าๆกับเรื่องอย่างเช่นการนอนหรือการพักผ่อนในช่วงเบรกกินกาแฟ เราได้ใช้เวลามากมายในการทำสิ่งที่ไร้สาระเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งเราก็เสียใจในภายหลัง

ดังนั้น ในตอนนี้ที่เรารู้ว่าจะค้นหาพระเจ้าได้อย่างไร ฉันจะแสดงให้เธอเห็น ตอนนี้ที่เธอรู้ถึงวิธีการที่จะค้นหาเสรีภาพ วิธีการที่จะค้นพบความสุขภายใน เราจะใช้เวลาที่เสียไปนี้เท่านั้น เวลาที่ว่างเท่านั้น เพื่อหันเข้าหาสู่ภายใน สู่การค้นพบที่มีค่าแห่งอาณาจักรภายในตัวเรา ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าเราต้องการเวลาหรือแม้กระทั่งความพยายาม ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ รู้ว่าจะค้นหาพระเจ้าได้อย่างไร พวกเราทุกคนต่างก็ทราบดีว่า บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเวลาว่างของเรา บางครั้งเราก็เบื่อมาก ยกตัวอย่าง ในช่วงเวลาที่เรานั่งอยู่ในรถไฟ รถบัส เครื่องบิน หรือบางครั้งเวลาที่เรานั่งอยู่ในสวนสาธารณะ ไม่ได้ทำอะไรเลย เวลาทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถเปลี่ยนเป็นช่วงโอกาสที่จะเพลิดเพลินกับเสรีภาพภายใน และแสดงมันออกมาภายนอกด้วยเช่นกัน

ประชาชนของฟินแลนด์มีเกือบทุกสิ่งอยู่แล้ว เธอมีกระทั่งสิ่งที่ดีที่สุด 2 อย่าง และระบบโทรคมนาคมที่มีชื่อเสียงที่สุด ดังนั้น จริงๆ แล้ว ฉันจึงไม่สามารถมอบความสะดวกสบายทางวัตถุมากไปกว่าที่ประเทศของเธอได้มอบให้กับเธออยู่แล้วได้ แต่ฉันสามารถมอบบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าทรัพย์สมบัติและความสำเร็จทางโลก ฉันสามารถมอบอาณาจักรแห่งพระเจ้าให้กับเธอได้ ซึ่งเธอได้ลืมไปแล้ว และมันง่ายมาก เหมือนกับเธอกำลังมองดูดอกไม้ในขณะนี้ (ท่านอาจารย์หมายถึงดอกไม้ที่อยู่บนเวทีซึ่งท่านกำลังพูดอยู่) และเนื่องจากว่า มันง่ายมาก ฉันก็มั่นใจว่า พวกเธอเกือบทุกคนจะอยากได้มัน เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เธอสามารถมีได้

มีเพียงเรื่องเดียวที่ค่อนข้างจะลำบากอยู่หน่อย ซึ่งฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกเธอ ก็คืออาจจะเป็นเรื่องวิถีชีวิตซึ่งเธอคุ้นเคย พูดทางวิทยาศาสตร์แล้ว ดั้งเดิมนั้นเราเป็นมังสวิรัติ เพราะว่า เรามีลำไส้ที่ยาวกว่าพวกที่กินเนื้อสดๆ อย่างเช่น เสือ แต่เนื่องจากเราได้ถูกสอนให้คุ้นเคยกับการรับประทานเนื้อ จึงอาจจะยากสักเล็กน้อยที่จะกลับไปสู่ชีวิตดั้งเดิม และสำหรับกรณีนั้นเราก็มีสิ่งที่เรียกว่าวิถีสะดวก ดังนั้น เธอจึงสามารถลองดูได้ และทำความคุ้นเคยกับอาหารมังสวิรัติ เราจะสอนให้เธอทำอาหารด้วย และมอบตำราอาหารง่ายๆ บางทีอาจจะช่วยได้เล็กน้อย บางทีเรื่องนั้นอาจจะช่วยได้เล็กน้อย ให้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเธอกลับไปสู่วิถีชีวิตที่ดั้งเดิมและสูงส่งนั้นง่ายขึ้น เราคิดว่า เราเปลี่ยนชีวิตของเราจากเนื้อสัตว์มาเป็นมังสวิรัติ แต่อันทีจริงแล้ว เราเพียงแต่กลับไปสู่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น สู่สิ่งที่เราได้ลืมไป เธอสามารถกล้าหาญและตัดสินใจที่จะทำนับตั้งแต่วันนี้ หรือเธออาจจะพูดว่า “ตกลงฉันจะลองดูก่อน”

ทันทีที่เรารู้จักพระเจ้า เราก็จะได้รับการคุ้มครองเสมอ

ทันทีที่เราได้มีการติดต่อตัวเราเข้ากับพลังของพระเจ้าและยอมจำนนต่อพลังนี้ ทุกอย่างก็จะได้รับการดูแลจนถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุด นั่นคือ วิธีการที่เราได้ค้นพบความกล้าหาญและความเข้มแข็ง ที่จะจัดการกับอุปสรรคและปัญหาทั้งหลายในชีวิตนี้ ทันทีที่เราได้ติดต่อกับพระเจ้า ถ้าหากเรามีการติดต่อกับพระเจ้าอย่างแท้จริง เราก็จะไม่มีความกลัวใดๆ เราสามารถทำได้ทุกสิ่ง และเราจะได้รับการคุ้มครองเสมอ ดังนั้น จงอย่ากลัวแม้กระทั่งถ้าเราไม่มีอาหารที่จะทาน หรือเราไม่มีพาหนะในการคมนาคม หรือปัญหาใดๆ ในชีวิตอาจจะเกิดขึ้นมา เราจะต้องกล้าหาญและทำตามสิ่งที่หัวใจเราบอกเราว่าถูกต้อง เธออาจจะลองไปอย่างช้าๆ ก็ได้ แต่เราเป็นมนุษย์ และเราสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น เหตุผลก็คือ ทันทีที่เราได้ติดต่อกับพระเจ้า และเราต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่เดินอยู่ในโลก เราก็ควรจะเป็นตัวแทนคุณสมบัติของพระเจ้าซึ่งก็คือความรัก และความรักก็รวมสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าไว้

สวรรค์นั้นมีหลายระดับชั้นมากมาย ก็เหมือนกับสังคมนี้ ที่เรามีชนชั้นต่างๆ กัน ถ้าหากเราต้องการไปยังมิติที่สูงที่สุดของสวรรค์ และรู้ถึงความลับที่ลึกล้ำที่สุดของจักรวาล เราก็ควรจะมีภาระที่น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ และสิ่งที่เราบริโภค เช่น แอลกอฮอลล์ ยาเสพย์ติด และเนื้อสัตว์ สิ่งเหล่านี้เป็นภาระซึ่งเป็นอันตรายมากกับการเดินทางขึ้นไปสวรรค์ของเรา ไม่ใช่ว่า พระเจ้าใส่ใจกับสิ่งที่เรารับประทาน หรือสิ่งที่เราใส่เข้าไปในกายเนื้อของเรา เพียงแต่ว่า เราจะต้องบริสุทธิ์ทางกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ เพื่อที่จะเป็นมนุษย์พิเศษและได้รับเกียรติในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า

พระเจ้ารักเรา ไม่ว่าเราจะมีบาปมากเพียงไร ไม่ว่าเราจะเคยทำผิดพลาดมามากเพียงไร พระเจ้าก็รักเราเสมอ และในสายตาของพระองค์ เราก็เป็นบุตรของพระองค์เสมอ แต่สำหรับตัวเราเองแล้ว สำหรับมโนธรรมของเรา เราจะต้องเดินบนทางแห่งความรักอันสูงส่ง เพื่อที่จะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดใดๆ เพื่อที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เพราะว่า เดิมทีแล้วเราคือพระเจ้า และท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทรแห่งความรัก ซึ่งก็คือพระเจ้าอีกนั่นแหละ เราเป็นพระเจ้าที่ปรากฎรูปอยู่ในโลกวัตถุนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครที่มาตัดสินว่า เราเลวหรือเราดี นอกจากตัวเราเอง นอกจากปัญญาของเรา มโนธรรมของเรา และความยุติธรรมในความรู้ของเราเอง ซึ่งจะตัดสินตัวเราเมื่อถึงเวลาที่เราจากโลกนี้ไป นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงต้องกำจัดภาระอันไม่จำเป็นทั้งหลายเหล่านี้ออกไป ก็เพื่อเราจะได้ตระหนักถึงแก่นแท้ที่บริสุทธิ์แห่งตัวตนดั้งเดิม ซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่ซึ่งก็คือความรักทั้งหลาย แสงทั้งหลายและพระพรทั้งหลาย

ดังนั้นปัญญาของมหาอาจารย์ในอดีตได้สอนเรามากมาย ยกตัวอย่าง เราควรรักกันและกัน เราควรซื่อสัตย์ และเราควรรักพระเจ้าด้วยพละกำลังทั้งหมดของเรา แต่เราจะรักพระเจ้าได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักพระองค์ ฉันจะแสดงพระเจ้าให้เธอเห็น เพื่อเธอจะได้รักพระองค์ได้ และเธอจะได้รู้จักความรักและพระพรของพระองค์ทุกๆ วัน ศาสนาทุกศาสนาพูดเกี่ยวกับพระเจ้า มีการพูดถึงพระเจ้าทุกหนทุกแห่ง ถึงเวลาแล้วที่เราจะรู้จักพระเจ้า! การรู้จักพระเจ้าไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับตัวเราเท่านั้น มันจะช่วยยกระดับโลกและให้พรแก่บรรยากาศของโลก เพื่อมันจะได้มีสงครามน้อยลง และมีสันติภาพมากขึ้น มีความรักมากขึ้น และมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นสำหรับทุกคนที่อยู่รอบๆ เรา เพราะเราจะเป็นเสาที่มีชีวิตแห่งการถ่ายทอดความรักและพระเจ้าจากสวรรค์ แล้วสิ่งนี้ก็จะแผ่ออกมาจากตัวเรา ออกมาสู่สิ่งที่อยู่รอบๆ

การรู้จักพระเจ้าเชื่อมต่อเราเข้าไปใหม่กับทั้งจักรวาล

ดังนั้น การรู้จักพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ว่า เป็นเพราะเราต้องการมีพลังของพระเจ้า มันเป็นเพราะ เราต้องการรักโลกให้มากขึ้น เราต้องการให้พรแก่โลกมากขึ้น และทำให้เกิดความสุขมากขึ้นต่อผู้ที่เรารักและต่อโลกของเรา-แม้กระทั่งใหญ่กว่านี้ต่อทั้งจักรวาลเลย! เพราะว่า เราทั้งหลายต่างก็เชื่อมโยงกันด้วยสิ่งผูกมัดที่มองไม่เห็น ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยซ้ำเหมือนกับที่อะตอมทั้งหลายเชื่อมอยู่ด้วยกัน ในสิ่งที่เป็นวัตถุทุกอย่าง เพื่อที่จะยึดมันไว้ให้เป็นชิ้นเดียวกัน เราก็เป็นเหมือนอะตอมในจักรวาล เราสร้างจักรวาลให้ดำรงอยู่ในรูปของแข็ง แต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้น ถ้าแสงพลังในตัวเราได้ถูกจุดประกายขึ้นมาใหม่เช่นนี้แล้ว จักรวาลทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ เดิมทีแล้ว

เรามาจากพระเจ้า และพระเจ้าก็มีแก่นแท้แบบเดียวกับที่เรามี แม้ว่าผู้สูงสุดจะไม่มีรูปร่าง พระองค์ก็สามารถปรากฎเป็นรูปร่างต่างๆ กันได้ด้วย เหมือนอย่างเช่น กายเนื้อนี้ หรือเป็นเหมือนกับเราที่นั่งอยู่ที่นี่ หรือเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ ซึ่งเราจะสามารถเห็นได้ภายใน ในขณะที่เราทำสมาธิถึงท่าน และรูปแบบนี้จะสอนสิ่งต่างๆ มากมายให้แก่เรา ที่เราอยากจะรู้ มันจะช่วยเราในเรื่องปัญหาทั้งหลายในชีวิตนี้และชีวิตหน้า เราสามารถเข้าถึงพระเยซู พระพุทธเจ้า และมหาอาจารย์ทั้งหลายในอดีตได้ด้วย เราสามารถสนทนากับพวกท่าน และให้พวกท่านสอนปัญญาของพวกท่านแก่เรา จนกระทั่งเราถึงระดับของพวกท่าน

พวกเราทุกคนคงจะสงสัยว่า ถ้าหากเราบอกว่า เราเป็นพระเจ้า แล้วเรากลายเป็นร่างกายวัตถุนี้ได้อย่างไร ซึ่งช่วยตัวเองไม่ได้ ซึ่งหนักอึ้งที่จะไปไหนมาไหน ไม่อิสระ และจำกัดมาก? ในความรู้ของฉัน ในการทำสมาธิของฉัน พระเจ้าได้แสดงให้เห็นว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันยากที่จะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ แต่ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุด ยกตัวอย่าง เธอรู้ไหมว่า คนทำเนยสดและเนยแข็งจากนมได้อย่างไร นมสดนั้นเป็นของเหลว แต่มันสามารถควบแน่นและปั่นเป็นเนย หรือสามารถทำให้เป็นของแข็ง เป็นเนยแข็งได้ ดังนั้น ดั้งเดิมแล้วเราคือแก่นแท้ของแสง เป็นแก่นแท้ของพลังงานที่ละเอียดมาก มีแรงสั่นสะเทือนที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสร้างอานุภาพทั้งหลายเหล่านี้ในจักรวาลทั้งจักรวาล โดยขบวนการปั่นเราก็ได้ควบแน่นเป็นกายเนื้อนี้

แต่ฉันก็ได้รับการแสดงให้เห็นว่า มีอานุภาพที่ไม่เคยถูกปั่นเป็นกายเนื้ออยู่ภายในตัวเรา นั่นก็คือ สิ่งที่ช่วยชีวิตอยู่ภายในตัวเรา นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่าพระจิตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาศัยอยู่ภายในวิหารของพระเจ้านี้ เรากำลังอยู่ที่ก้นบึ้งแห่งขบวนการปั่นของการสร้างสรรค์ ดังนั้น เราจึงหยาบนิดหน่อย หนักอึ้งนิดหน่อย มีพลังงานสั่นสะเทือนที่ละเอียดกว่าอื่นๆ ซึ่งกำลังลอยละล่องอยู่เหนือเรา และเราสามารถเข้าถึงมันได้ ถ้าหากเรายกพลังงานของเราขึ้นสู่มาตรฐานของพลังงานนั้น

ประกายไฟเล็กๆ นี้ในตัวเรายังคงมีและมีอยู่เสมอ ซึ่งไม่เคยถูกทำให้แปดเปื้อน และไม่เคยถูกทำให้เป็นพลังงานกายภาพ และประกายไฟนั้นเราสามารถเข้าถึงได้เสมอเพื่อกลับไปสู่ ณ ที่ซึ่งเราได้จากมา เพื่อที่จะย้อนขบวนการ เพื่อที่จะกลับไปสู่สภาพดั้งเดิม ซึ่งก็คือแสง ซึ่งก็คือพลังงานที่ละเอียด และแสงนี้ พลังงานที่ละเอียดนี้ สิ่งที่เรียกว่า แรงสั่นสะเทือนที่ละเอียดนี้ ก็ถูกเรียกว่า เป็นพระวจนะในไบเบิ้ลด้วย นี่คือพระเจ้า นี่คือแก่นแท้ของตัวตนของเรา ดังนั้นเพื่อติดต่อกับพลังงานดั้งเดิมที่ละเอียดนี้ ติดต่อกับแสงดั้งเดิมนี้ และพระวจนะดั้งเดิมก็คือการติดต่อกับพระเจ้า.


ส่งหน้านี้ต่อให้เพื่อน ๆ