สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ด็อกเตอร์อันโทเนีย ดีมาส
- ชีวิตที่อุทิศตนให้กับการสร้างความเปลี่ยนแปลง คือ การสร้างความแตกต่างที่เป็นบวก
 
นักเรียนเรียนรู้การดำรงชีวิตที่มีสุขภาพดี โดยตกแต่งและเตรียมปรุงอาหารมังสวิรัติ

 

โดยพี่ประทับจิตหญิง ลิงก์ เกาท ชิกาโก อิลลินอยล์ สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

อัลโทเนีย ดีมาส พีเอชดี ผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาอาหาร เป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารมังสวิรัติ เป็นนักวิจัย รวมถึงแม่ครัวมังสวิรัติที่ยอดเยี่ยม ในสหรัฐอเมริกาหลักสูตรของโรงเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์และได้รับรางวัลของท่าน ซึ่งมีชื่อว่า “อาหารคือปฐมภูมิ” ได้ช่วยเหลือเด็กๆ จำนวนมาก นับตั้งแต่อายุก่อนเข้าวัยเรียนจนถึงอายุที่เข้าวิทยาลัยให้ทราบถึงความเข้าใจในประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ และรับเอาอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนี้เข้ามา

ถ: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านตัดสินใจเป็นมังสวิรัติเมื่ออายุได้ 14 ปี?

ต: ฉันคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องอาหารและมันมาจากที่ไหน การรับประทานเนื้อสัตว์ได้กลายเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจสำหรับฉัน ฉันได้คิดถึงสัตว์ต่างๆ ที่ถูกฆ่า และมันเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเลยที่จะคิดเกี่ยวกับการรับประทานเลือดและเนื้อของพวกมัน ฉันจึงเลิกรับประทานเนื้อไป แม้ว่าเวลานั้น มันจะยังไม่เป็นที่นิยมเลย ฉันไม่มีการสนับสนุนทางด้านวัฒนธรรมใดๆ หรือการสนับสนุนจากพ่อแม่ของฉัน ฉันแค่ทำอาหารให้ตัวฉันเอง และพวกเขาก็ทานมัน
นักเรียนในฮาวายเรียนรู้การปลูกหัวเผือก เพื่อใช้ปรุงอาหารที่โรงเรียน
นักเรียนแสดงจานอาหารมังสวิรัติที่พวกเขาทำขึ้นมาเอง

ถ: ในเวลานั้นท่านได้ตระหนักไหมว่า การส่งเสริมมังสวิรัติจะเป็นพันธกิจตลอดชีวิตของท่าน?

ต: ฉันก็รู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง เพราะฉันมีความสนใจในเรื่องอาหาร การเป็นลูกครึ่งอิตาเลี่ยนฉันก็มีความรู้สึกว่า จะต้องทำอาหารให้สวยงามและมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไร และให้ความเคารพต่อพืช ซึ่งผลิตอาหารให้

ถ: ท่านเกิดความคิดที่จะแนะนำอาหารมังสวิรัติให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนอย่างไร?

ต: นั่นเป็นความชอบอีกอย่างของฉัน คือ เด็กๆ เมื่อฉันได้กลายเป็นแม่ ฉันก็อาสาสมัคร ณ ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกลางวัน ฉันรู้สึกว่าอาหารที่พวกเขาเสิร์ฟในโรงเรียนไม่มีคุณค่าทางโภชนาการนัก เนื่องจากอาหารและเด็กๆ เป็นสิ่งที่ฉันชื่นชอบและหลงใหล มันจึงเป็นการผสมผสานที่ดี

ถ: ครอบครัวของท่านเป็นมังสวิรัติหรือไม่?

ต: ฉันพยายามเลี้ยงดูลูกของฉันให้เป็นมังสวิรัติ แต่ฉันก็มีใจเปิดกว้างเหมือนกัน เพราะฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องทางเลือกส่วนบุคคล อดีตสามีของฉันและลูกๆ ต่างก็ชอบอาหารที่ฉันทำ ตัวฉันเองก็เป็นแม่ครัวมังสวิรัติเหมือนกัน และฉันทำอาหารอร่อยมาก

ถ: เพราะฉะนั้นการทำอาหารให้อร่อยก็มีความสำคัญมากที่จะแนะนำอาหารมังสวิรัติให้กับคนอื่นๆ ใช่ไหม?

ต: ถูกต้อง คนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์มากซึ่งเคยมาที่บ้านของฉัน ไม่คิดถึงเนื้อสัตว์เลย มันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะดึงดูดผู้คนมายังอาหารชนิดนี้

ถ: ท่านได้ออกแบบหลักสูตรที่ชื่อว่า “อาหารคือปฐมภูมิ” และท่านได้แนะนำโปรแกรมนี้ให้กับโรงเรียนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ท่านทราบไหมว่า มีโรงเรียนจำนวนมากน้อยเท่าไรที่นำโปรแกรมนี้ไปใช้?
ผนังในโรงอาหารตกแต่งอย่างมีสีสันด้วยจิตรกรรมฝาผนัง โดยนักเรียนที่จัดหาข้อมูลสารอาหารเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติ

ต: คงมีมากกว่า 500 โรงเรียนใน 30 รัฐ ฉันจำจำนวนไม่ได้ เพราะมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ฉันเกี่ยวข้องอย่างมากในสาขานี้ และมีงานยุ่งในการเก็บรวบรวมข้อมูล ฉันยังได้เดินทางไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝึกผู้ให้ความรู้ในเรื่องอาหาร โดยที่มี 2 รัฐเพิ่มขึ้นที่กำลังจะเข้าร่วมในโปรแกรม

ถ: ท่านรวบรวมข้อมูลอย่างไร? มันคงไม่ง่ายนัก เนื่องจากผลนั้นไม่สามารถสัมผัสได้

ต: ฉันมีภูมิหลังด้านการวิจัยและปริญญาเอก คุณจะต้องเตรียมและทำการสำรวจก่อนที่คุณจะเริ่มโครงการ คุณจะต้องทราบว่า ข้อมูลชนิดใดที่คุณจะเก็บรวบรวม เราได้มีการทดสอบก่อนและหลัง มีความสำคัญที่จะต้องทำสิ่งนั้น เพื่อเราจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ทำนโยบาย โปรแกรมอาหารจำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรพื้นฐานจริงๆ เด็กๆ ควรได้รับรู้ว่า อาหารมาจากไหน และมันมีผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขาอย่างไร ข้อมูลนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมในขณะนี้ของโรงเรียน

ถ: ท่านอธิบายให้เด็กๆ ทราบได้อย่างไรว่า เนื้อสัตว์มาจากไหน? ท่านให้พวกเขาดูภาพกราฟฟิคหรือ?

ต: เปล่า ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะว่า มันจะสะเทือนใจเกินไปและเป็นทางด้านการเมืองมากเกินไป และฉันคิดว่า พ่อแม่จำนวนมากจะอารมณ์เสีย โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่ฉันทำก็คือ แสดงให้พวกเขาเห็นถึงอาหารที่เป็นพืช และอธิบายว่าอาหารมังสวิรัตินั้นมาจากไหน ฉันไม่ได้เข้าไปถึงเลือดและไส้และอะไรแบบนั้นหรอก โรงเรียนจะไม่ชอบ ถ้ามีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันพูดเกี่ยวกับการสร้างความเปลี่ยนแปลง และวิธีการที่พวกเขาสามารถใช้สิทธินี้ได้ในโรงเรียน มันเป็นวิถีทางที่เป็นบวกที่จะแนะนำอาหารทางเลือก ซึ่งพวกเขายังไม่เคยลองมามากนัก หรือยังไม่เคยพบมาก่อน ฉันได้แนะนำโลกใหม่ทั้งโลกให้กับพวกเขา ซึ่งเด็กๆ มีประสบการณ์กับพืชผัก พวกเขาเรียนรู้ที่จะเพาะปลูกมันและทำมันเป็นอาหาร ซึ่งเด็กๆ ก็ชอบ จริงๆ แล้วต่อมา ถ้าหากว่าพวกเขารับประทานเนื้อสัตว์ พวกเขาก็จะเริ่มต้นถามว่า มันมาจากไหน ฉันคิดว่า มันเป็นการดีที่จะให้พวกเขาตั้งคำถามขึ้นมา สำหรับฉันแล้ว นี่คือแก่นแท้ของการศึกษา ฉันไม่ติเตียนพวกเขาหรือตัดสินพวกเขาในสิ่งที่พวกเขากิน แต่ฉันกลับแนะนำพวกเขาให้รู้จักโลกใหม่แห่งอาหารทางเลือก ซึ่งพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์มากนักมาก่อน

ถ: เด็กๆ และโรงเรียนมีการตอบรับโปรแกรมของท่านอย่างไร?

ต: พวกเขาชอบมัน มันมหัศจรรย์! พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและได้ลิ้มชิมรส สร้างสรรค์ และใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทั้งหมดของพวกเขา มันมีการตอบรับที่เป็นบวก

ถ: ท่านคิดว่ายังมีหนทางยาวไกลที่จะไปใช่ไหม?

ต: ใช่ เป้าหมายของฉันก็คือ ทำให้มันเป็นรูปร่างขึ้นมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในชุมชนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีการรับรู้จากโรงเรียนทั่วไปว่า เด็กๆ จะไม่มีวันรับประทานอาหารที่เราแนะนำ นั่นก็เป็นงานที่เพิ่มมากขึ้นให้กับพวกเขา แต่ในทันทีที่ผู้ให้ความรู้และผู้บริหารได้เห็นประโยชน์และรู้สึกว่ามันคุ้มค่า พวกเขาก็จะลองดู พวกเขาดูที่คะแนนของเด็กๆ และไม่ได้เชื่อมต่อกับอาหาร แต่อาหารมีผลกระทบต่อกระบวนการคิดอย่างแน่นอน

ถ: งานของท่านในปัจจุบันคืออะไร?

ต: ฉันเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อฝึกผู้ให้ความรู้ ฉันมีตารางที่ยุ่งมาก และบางครั้งการเดินทางก็ทำให้ฉันเหนื่อยมาก ฉันยังได้ฝึกพวกคุณครู ช่วยพวกเขาจากแผนการเรียนประจำปีการศึกษา ฉันไม่ได้ต้องการแค่เริ่มต้นแผนการ แล้วก็ไม่ได้นำมันมาใช้

ถ: เกี่ยวกับการวิจัยของท่าน ท่านวัดผลอย่างไร?

ต: มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะทำการวิจัย เพราะว่ามีตัวแปรมากมายเหลือเกิน อย่างเช่น การไม่สามารถควบคุมสภาพของเด็กๆ ในวันที่เจาะจงเฉพาะ การที่ไม่สามารถควบคุมอากาศ หรือแม้กระทั่งโรงเรียนจะเปิดหรือไม่ แต่ฉันคิดว่า มันสำคัญที่จะบันทึกข้อมูล แม้ว่าจะมีอุปสรรค เพราะว่าไม่มีข้อมูลจริงๆ เลย ฉันมุ่งอยู่ที่การวัดใน 3 เรื่อง คือ 1) ผลการเรียน : ในโปรแกรมของฉัน เด็กๆ รักษาสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ไว้ได้มากกว่าในหลักสูตรปกติ เพราะว่าพวกเขาใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่าง 2) สุขภาพ: สุขภาพของเด็กๆ เริ่มดีขึ้นหลังจากที่รับประทานอาหารนี้ เด็กๆ ยังมีผลต่อครอบครัวและยังมีผลต่อพ่อแม่ของพวกเขา 3)พฤติกรรม : เมื่อเธอขาดสารอาหาร เธอก็จะมีพฤติกรรมที่ไม่ดีนัก การรับประทานน้ำตาลและไขมันทั้งวันไม่ได้นำไปสู่พฤติกรรมที่ดี อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันกำลังทดสอบก็คือ เรื่องภูมิแพ้ ฉันกำลังทำงานร่วมกับแพทย์ในบัลติมอร์ เพื่อเรียนรู้ว่าภูมิแพ้มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของเด็กอย่างไร


บทสรุป:

มันเป็นประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ที่ได้สนทนากับบุคคลที่เป็นเหมือนนักบุญ อย่างเช่น ด็อกเตอร์ดีมาส ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่มีความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังมีความมุ่งมั่นและความพากเพียรที่จะทำมันให้สำเร็จ ท่านดิ้นรนต่อสู้ในสิ่งที่ท่านเชื่อ และสร้างความแตกต่างขึ้นในโลก ด็อกเตอร์ดีมาสเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นสำหรับเราทุกคน ที่จะแปรความคิดและความรักของเราให้กลายเป็นรูปการกระทำด้วยวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดที่เราสามารถทำได้เพื่อยกระดับโลก