อาจารย์กล่าว

เราเป็นบุตรของพระเจ้าจริง ๆ

ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ลอนดอน สหราชอาณาจักร
วันที่ 9 มิถุนายน 2542(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) ดีวีดี #662

พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้ฉันทราบว่า เธอไม่ควรโทษตัวเองที่มีบาป จงอย่าดูถูกตนเอง เพราะเธอคือบุตรของพระเจ้า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันจะต้องเกิดขึ้น และถ้าเราไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราไม่ชอบบุคคลิกลักษณะของเรา ถ้าเราไม่ชอบวิธีการที่เราใช้ชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ชอบอยู่ในความมืด เราก็สามารถเปลี่ยนมันได้! เราเปลี่ยนเพื่อกลายเป็นคนที่ดีขึ้น เราเปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตที่แตกต่างออกไป เราเปลี่ยนเพื่อกลายเป็นคนที่มีความรักมากขึ้น และเข้าใจมากขึ้น และหากเราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เราก็หันเข้าหาพระเจ้า เราหันเข้าหาพระเจ้าโดยการเข้าไปสู่ภายใน เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเรา แล้วปล่อยให้พระเจ้าสอนเรา ปล่อยให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเรา ปล่อยให้พระเจ้าชี้นำชีวิตของเราไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า เหมาะสมกว่าสำหรับบุตรของพระเจ้าที่เราคาดหวังให้ตัวเราเป็น

เธอรู้ไหมว่าบุตรของพระเจ้าคืออะไร? เธอคิดออกไหม? มันไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น แต่เป็นความหมายของมัน เป็นน้ำหนักของมัน! พระเจ้าคือผู้ที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลนี้ และเราคือบุตรของพระองค์! มันได้ถูกกล่าวไว้ในไบเบิ้ลด้วยว่า “พระเจ้าสร้างคนของพระองค์ให้มีหน้าตาแบบพระองค์” มันมีอยู่ทุกแห่ง พระพุทธเจ้าก็บอกเราเหมือนกันว่า “ฉันคือพุทธะ เธอก็คือพุทธะในอนาคต” “เธอมีธรรมชาติแห่งพุทธะภายในตัวเธอ” ชาวคริสต์บอกเราว่า “เธอมีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเธอ” แต่เราก็ไม่เคยรู้เรื่องนั้นเลย เรามีชีวิตอยู่ไปวันๆ หาเงินมาแทบไม่ทันใช้ และบางครั้งเราก็มีสิ่งที่จำเป็นไม่พอเพียง

ทั้งหมดนี้ทำให้เรากลัดกลุ้ม และเราก็โกรธกันและกัน เรากลายเป็นคนขี้หงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล เพียงเพราะว่า ณ ที่หนึ่งในจิตใต้สำนึกของเรา เรายังคงจำชีวิตในสวรรค์ที่เราได้ทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อนานมาแล้วได้ ณ ที่นั้นเรามีทุกอย่าง เรามีพลัง ณ ที่นั้นเราคิดอะไรเราก็มี เราคิดอะไรมันก็เกิดขึ้นมา แต่ที่นี่เราต้องร้องขออาหาร! เราทำงาน 10 ชั่วโมง เราเหนื่อยมาก บางครั้งเจ็บป่วยมาก แล้วก็ยังต้องทำงาน เพียงเพราะว่าเราต้องให้อาหารแก่ร่างกาย ร่างกายก็สร้างความเดือดร้อนให้กับเราด้วย แล้วเราก็ต้องทิ้งมันไว้เบื้องหลัง หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า “อย่าวางสมบัติของเธอบนโลก ณ ที่ซึ่งแมลงสามารถทำลายได้” แต่จงวางสมบัติไว้ในสวรรค์ ณ ที่ซึ่งเธอสามารถมีมันได้ตลอดกาล”

เมื่อเรามีโอกาสไปสู่สวรรค์ ยิ่งเราขึ้นไปสูงมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้สึกยึดติดกับโลกนี้น้อยลงเท่านั้น เรากลับมาและเรายังคงไปทำงาน เรายังทำหน้าที่ของเรา แต่เราไม่รู้สึกถึงความเป็นทาสของชีวิตที่ทับถมบนตัวเราอีกต่อไป เราไม่รู้สึกถึงความกลัดกลุ้มที่ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องทำงานหนักอีกต่อไป เรายังคงทำงานต่อไป และเราจะทราบทุกอย่าง เราจะรู้ว่าทำไมชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ และพระเจ้าจะสอนสิ่งต่าง ๆ มากมายที่น่าสนใจให้แก่เรา จนกระทั่งปัญหาในระดับทางโลก ความกระวนกระวาย และความห่วงกังวลจะจากเราไป เพราะมันไม่สำคัญเลย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรารู้ในสวรรค์ ตัวตนอันแท้จริงและบ้านอันแท้จริงจะทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ต้องการอะไรที่นี่ เพราะเราไม่ได้เป็นของที่นี่

ดังนั้น จงอย่าทำลายความดีของเธอและตำแหน่งของเธอในจักรวาล เธอเป็นบุตรของพระเจ้าจริงๆ! และถ้าเธอพยายามที่จะจดจำตัวตนอันแท้จริงของเธออีกครั้งหนึ่ง ภายในเวลาอันรวดเร็วความทุกข์จะจากเธอไป หรือไม่ก็ความทุกข์จะไม่มีผลกระทบต่อเธอเลย เหตุนี้เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขน พระองค์ก็ไม่ได้ร้องหรือขอความเมตตา พระองค์ไม่ต้องการวิ่งหนีด้วยซ้ำ พระองค์จะวิ่งหนีก็ได้! พระองค์สามารถวิ่งไปซ่อนตัวก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระองค์ไม่สนใจ พระองค์ทราบว่าเวลาได้มาถึงแล้ว พระองค์จำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า จึงได้ตรัสว่า “โอ พระบิดา ท่านช่างให้เกียรติแก่ข้าพเจ้า” พระองค์ไม่ได้ร้องขอความเมตตาหรืออะไรเลย เพราะไม่มีอะไรที่มีผลกระทบต่อพระองค์อีกต่อไป พระองค์ได้ถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว กายเนื้อทุกข์ทรมาน แต่วิญญาณของพระองค์อยู่กับพระเจ้าเสมอ