บางครั้งก็มีอธิบาย พวกเธอก็ทราบเพียงด้านเดียว แล้วกลับเข้าใจอีกหลายด้าน บางครั้งก็ไม่อธิบาย พวกเธอก็จะคิดเอาเอง อธิบายเอง พวกเราอันดับชั้นเป็นอย่างไร จะเข้าใจอย่างนั้น นิทานเรื่องนี้มันมีความหมายแฝงไว้ หมายความว่า พวกเราบำเพ็ญอันดับชั้นมันต่างกัน มองดูเรื่องต่างๆ ก็แตกต่างกัน พวกเราภายในจิตใจบริสุทธิ์มั่นคง การมองดูเรื่องต่างๆ จึงมั่นใจ สบายมาก สวยงามมาก พวกเราใจไม่บริสุทธิ์ ใจไม่มั่นคง มองดูอะไรก็ไม่ดี ดังนั้น สิ่งของชิ้นหนึ่งเมื่อให้คนดู 2-3 คน แต่ละคนมองต่างมุมกัน มีการมองที่แตกต่างกัน ทำไมพวกเราจึงต้องบำเพ็ญ? เพราะเมื่อหลังจากที่พวกเราบำเพ็ญแล้ว ปัญญาเปิดออก ความคิดเปิดเผย พวกเรามองเรื่องต่างๆ จึงแม่นยำ ก็เท่านี้เอง เรื่องเดียวกัน ถ้าพวกเราสามารถมองเห็นความจริงได้ ก็จะไม่เข้าใจผิด ไม่ถูกมารยาหลอกหรือหลงเชื่อมัน ทำให้ความคิดของพวกเราถูกนำไปสู่ทางผิดและยึดติด นี่ก็คือเมื่อพวกเราบำเพ็ญไประยะหนึ่ง อยู่ในโลกนี้ก็จะกลายเป็นมีความสุขยิ่งขึ้น พวกเราอาจจะยังมีความทุกข์ ไม่ใช่ไม่มี แต่พวกเราก็ไม่มีจิตใจที่ดุร้าย ไม่มีความอาฆาตมาดร้าย เพราะพวกเราเข้าใจว่า โลกนี้อนิจจัง และเข้าใจถึงกฎแห่งกรรม คนอื่นหยิบเอาของของพวกเราไป มันไม่ใช่ว่าจะไม่ดีต่อพวกเรา เรื่องอย่างนี้เมื่อพวกเราบำเพ็ญแล้ว รู้แจ้งแล้ว จะเข้าใจได้ทั้งหมด ใช่หรือไม่? (ทุกคนตอบว่า:ใช่!) มิฉะนั้นแล้ว พวกเราอ่านนิทานเรื่อง "ลุงไซ่เสียม้า" อ่านนิทานแบบนี้มากมาย แต่นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ พวกเราก็ทราบเหตุผลมามากพอแล้ว แต่ถ้าตัวเองไม่ได้นั่งสมาธิทุกวัน นำเอาเหตุผลที่พวกเราเข้าใจมาใช้ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ถ้าเพียงแต่เรียน ท่อง แล้วก็ลืมไป น้อยคนที่สามารถนำเอาเหตุผลของนักบุญเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ หลังจากพวกเราบำเพ็ญแล้ว มองทางโลก มองอะไรก็ไม่สนใจมากนัก จะไม่หลงใหลอยู่กับความใคร่และลาภยศเหล่านั้นเหมือนแต่ก่อน ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้พวกเรากลุ้มใจได้ ไม่มีอะไรจะมาผูกมัดพวกเราได้ พวกเราเพียงแต่สืบทอดวงศ์วงตระกูล ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด บางครั้งเป็นเพราะร่างกายต้องการ ไม่ใช่พวกเราหลงใหลอยู่ที่นั่น สิ่งเหล่านี้พวกเราจะเห็นได้ชัดเจนมาก
|