เปิดโลกอวกาศ

 

 

 

บทเรียนที่ยิ่งใหญ่แห่ง
อารยธรรมโบราณ

โดยกลุ่มข่าวสหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

ผู้คนจำนวนมากอาจคิดว่า อารธรรมโบราณนั้นล้าสมัยมาก อย่างไรก็ตาม จากแหล่งโบราณสถาณ อย่างเช่น ปิรามิดในอียิปต์ ซากปรักหักพังในตอนกลางและตอนใต้ของอเมริกา หรือหินที่วางเรียงกันเป็นวงกลมในอังกฤษ เราจะพบว่า มันไม่เป็นการง่ายเลยที่จะสร้างขึ้นมา แม้ว่าจะใช้ความรู้ทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า บล๊อคชิ้นส่วนที่ใหญ่โตมโหราฬของโครงสร้างเหล่านี้ถูกตัด เคลื่อนย้าย และวางรวมกันอย่างแม่นยำได้อย่างไร? มันถูกตรวจสอบแล้วว่า ก้อนหินนั้นถูกตัดด้วยวิธีไฟฟ้า-อัลตร้าซาวด์ และถูกเคลื่อนย้ายเหนือพื้นดินโดยเทคนิคต่อต้านแรงโน้มถ่วง

ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า "เราเคยเห็น เราเคยอ่าน และเรามีข้อพิสูจน์ในหลาย ๆ อารยธรรม ซึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินเนื่องจากมีความโน้มเอียงไปในทางลบ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว และเดี๋ยวนี้เราถึงกับค้นพบเมืองโบราณเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งก็มีความเจริญมากกว่าอารยธรรมของเรามาก ๆ พวกเขาได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาพัฒนาได้ถึงระดับที่สูงมากของอารยธรรม เช่นเดียวกันกับการพัฒนาทางด้านอิเลกทรอนิกส์และเครื่องกล ซึ่งพัฒนาไปถึงระดับที่สูงมากเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้ค้นหาพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ดำเนินไปตามหลักการที่ถูกต้องของชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงมา การค้นพบนี้ควรจะเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ สำหรับยุคของพวกเรา และรุ่นอื่น ๆ ที่จะตามมา (กล่าวโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา 8 พฤษภาคม 2535 ธรรมสารฉบับที่ 27)

ท่านอาจารย์ได้เคยเปิดเผยถึงความเป็นมาของอารยธรรมโบราณเหล่านั้นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนจากโลกที่สูงกว่าได้มายังโลกของเราเพื่อสอนเรา พวกเขาบางคนมาจากระดับกลาง บางคนมาจากระดับที่สูงขึ้น และบางคนมาจากระดับที่สูงที่สุด ตัวตนจากระดับกลางสอนเราว่า จะทำเครื่องจักรชั้นสูงอย่างไรและสอนเราว่าจะพัฒนาพลังที่เหนือธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของเราได้อย่างไร ซึ่งทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น ร่ำรวย และศิวิไลซ์ ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ที่เราเคยมีมาบนโลกนั้น เช่น ช่วงเวลาของแอทแลนทิส ซึ่งเป็นผลมาจากเหล่าคุณครูผู้มาจากโลกระดับกลาง ในช่วงวันเหล่านั้น โลกของเราเจริญมาก และนักโบราณคดีในปัจจุบันนี้บางครั้งได้ค้นพบหลักฐานแห่งความเจริญของช่วงเวลานั้น" (กล่าวโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่ โตเกียว ญี่ปุ่น 11 มีนาคม 2535 ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเล็กน้อยของการค้นพบจากการสำรวจเกี่ยวกับอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ในอดีตเหล่านี้ และเครื่องเตือนความจำแห่งบทเรียนที่เราจะเรียนรู้ได้จากความเงียบที่เหลืออยู่

ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่แห่งกิซา

ปิรามิดในอียิปต์

ตั้งอยู่ที่อียิปต์ โครงสร้างอันน่าประทับใจนี้เก่าแก่ที่สุดและยังคงเหลืออยู่ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ปิรามิดนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากบล๊อคของหินปูน หินบะซอลท หรือหินแกรนิท ซึ่งถูกตัดและขลิปแต่งก่อนที่จะถูกจัดไว้เข้าที่ บล๊อคของหินเหล่านี้มีน้ำหนักจาก 2ถึง 15 เมตริกตัน (16.5 ตัน(US)) โดยเฉลี่ย และต้องใช้บล๊อคทั้งหมดประมาณ 2.4 ล้านก้อนในการก่อสร้าง

ความถูกต้องสมบูรณ์ของฝีมือการก่อสร้างปิรามิดนั้นคือ ที่ความยาวของฐาน 750 ฟุต มีความคลาดเคลื่อนยาวประมาณ 58 มม. (ประมาณ 2 นิ้ว) และคลาดเคลื่อนเล็กน้อยที่ตรงมุมจากรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสที่สมบูรณ์ ด้านข้างของฐานสี่เหลี่ยมจะอยู่ในแนวเดียวกับจุดชี้ทิศบนเข็มทิศ (ภายในส่วนโค้งเล็ก ๆ 3 ส่วน) และตำแหน่งอ้างอิงนี้ไม่ได้เทียบกับทิศเหนือแม่เหล็ก แต่เทียบกับทิศเหนือจริง

ในตอนที่มันก่อสร้างนั้น ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยปลอกหินสีขาว - เป็นผิวหน้าที่ลาดเอียง แต่เป็นชิ้นบล๊อคของหินปูนสีขาวที่มีการขัดผิวสูงและแบนเรียบด้านบน หินปลอกของปิรามิดที่ยิ่งใหญ่นี้ถูกตัดด้วยระดับความแม่นยำของแสง จากการที่มันมีความคลาดเคลื่อนตลอดทั้งผิวหน้าของมันจากระนาบจริงเพียง 1/50 นิ้ว มันถูกนำมาวางเรียงกันอย่างสมบูรณ์ ขนาดที่ปลายของมีดไม่สามารถที่จะสอดแทรกลงไประหว่างรอยต่อได้แม้กระทั่งทุกวันนี้

ด้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือเป็นทางเข้าของปิรามิด ทางเดินต่าง ๆ โถงทางเดินและช่องหนีจะเชื่อมต่อกับห้องของกษัตริย์ หรือมีไว้เพื่อความประสงค์ที่จะบริการงานอย่างอื่น ห้องของกษัตริย์ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจของปิรามิด ซึ่งจะเข้าถึงได้โดยผ่านทางโถงทางเดินหลักและทางเดินขึ้นเท่านั้น สิ่งที่น่าประทับใจมาก คือ หินมุมแหลมเหนือทางเดินโถงกษัตริย์ ซึ่งมีความยาว 3 เมตร(10 ฟุต) สูง 2.4 เมตร (8 ฟุต) และหนา 1.3 เมตร (4 ฟุต) หินตกแต่งภายในทั้งหมดจัดเรียงกันอย่างดีขนาดที่ไม่สามารถสอดบัตรไประหว่างมันได้


อาณาจักรอินคา

ทิวทัศน์ของมาจุ ปิคชุ "เมืองที่หายไป" แห่งอินคา

อารยธรรมนี้ ซึ่งเคยมีปรากฏอยู่ในบริเวณอเมริกาใต้ ปัจจุบันนี้รู้จักกันในชื่อเปรู เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในยุคก่อนโคลัมเบียอเมริกา และใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาที่มันล่มสลายลง อาณาจักรอินคานั้น บางทีอาจจะรู้จักกันดีในทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกเขา พวกเขาก่อสร้างระบบต่อขยายที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดีมากและนำมาใช้เป็นถนน รวมความยาวอย่างน้อย 23,000 กม.(มากกว่า 14,000 ไมล์) ระบบถนนนี้ถูกใช้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก การติดต่อสื่อสารและการขนย้ายผู้คนและสินค้า ในการข้ามหุบเขาลึกสูงชันจำนวนมากซึ่งพบในเทือกเขาแอนดีสนั้น อินคาได้สร้างสะพานแขวนที่น่าประทับใจเอาไว้ และที่ด้านข้างภูเขาในหลายพื้นที่ พวกเขาสร้างเนินลาดเอียงลดหลั่นเป็นชั้นอย่างบรรจงเพื่อเพิ่มผลผลิตอาหาร


เตโอติอัวคาน

ปิรามิดแห่งพระอาทิตย์ในเตโอติอัวคาน

เมืองโบราณแห่งเตโอติอัวคาน ตั้งอยู่ใกล้เมืองเม็คซิโกในเม็คซิกันไฮแลนด์นั้น น่าประทับใจทั้งขนาดของปิรามิดแห่งพระอาทิตย์ (ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในโลก) และโครงสร้างน้องสาวของมัน ปิรามิดแห่งพระจันทร์ เช่นเดียวกับคุณสมบัติแห่งความสงบสุขของผู้คนผู้ซึ่งอาศัยอยู่ดั้งเดิม เตโอติอัวคานมีความเป็นหนึ่งเดียวในทางด้านการเขียนภาพ หรือจิตรกรรมฝาผนัง ที่ถูกค้นพบที่นั่นนั้นเป็นภาพเขียนที่ไม่มีเนื้อหาความรุนแรง เหมือนกับที่พบในที่อื่น ๆ พวกเขาเขียนพรรณนาเกี่ยวกับสังคมซึ่งดูเหมือนว่า มีความสนใจมากในทางด้านดาราศาสตร์ และสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณในเวลานั้น

ปิรามิดแห่งพระจันทร์

เมืองนั้นดูประหนึ่งว่า เคยเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนามาหลายร้อยปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มันไม่เคยได้รับคืนความเจริญของมันในกาลก่อนหลังจากที่มันล้มครืนลง ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นผู้สร้างเตโอติอัวคาน ชื่อที่เรียกใช้กันในทุกวันนี้นั้นมาจากชาวพื้นเมืองแอสเท็ค ผู้ซึ่งมาพบมันถูกทิ้งไว้นานแล้ว ชาวแอสเท็คมีมโนภาพว่าสถานที่นั้นถูกสร้างขึ้นโดยเหล่ายักษ์


เกาะอีสเทอร์

รูปปั้นขนาดใหญ่หรือรูปแกะสลักจำนวนหนึ่งบนเกาะอีสเทอร์

ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ 3,600 กม.(2,237 ไมล์) เป็นที่ตั้งของเกาะอีสเทอร์ ที่ตรงจุดเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรนี้ รูปปั้นหินจำนวน 887 รูป หรือรูปแกะสลัก ถูกแกะสลักขึ้นจากเถ้าภูเขาไฟที่หยาบแข็ง และถูกวางไว้รอบเกาะ รูปแกะที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงมากกว่า 70 ฟุตและหนักมากกว่า 150 ตัน (300,000 ปอนด์) ที่ตรงเหมืองหินนั้นดูประหนึ่งว่าถูกทิ้งไว้อย่างปัจจุบันทันด่วน โดยมีรูปหินแกะสลักครึ่งหนึ่งอยู่ในหิน โชคร้ายที่ไม่มีการเขียนบันทึกอย่างเป็นทางการเพื่อช่วยเล่าถึงเรื่องราวของพื้นที่ห่างไกลนี้ แต่ภาพที่เห็นของเหล่ารูปปั้นยักษ์นี้ แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังจับใจอยู่ในความรู้สึกทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาที่แสดงออกมา


วงกลมหิน

วงกลมหินในตอนใต้ของอังกฤษ

หินวางเรียงกันเป็นวงกลม ตั้งอยู่บนทุ่งเขียวเปิดในเขตดาวน์แลนด์ของที่ราบซาลิสเบอรี่ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองอเมสเบอร์รี่ เขตวิลท์เชอร์ไปทางตะวันตก 2 ไมล์ ในตอนใต้ของอังกฤษ มันเป็นการเรียงกันของวงแหวนที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกันและมีรูปทรงแบบเกือกม้า ประกอบด้วยหินโบราณขนาดใหญ่มาก หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักถึง 45.4 เมตริกตัน (หรือ 50 ตัน(US)) มันถูกกล่าวถึงว่า เป็นความสามารถอันน่าประทับใจทางด้านวิศวกรรมในช่วงเวลานั้น

เสาหินที่อยู่ด้านนอกจะมีหินเชื่อมอยู่ด้านบนซึ่งเรียกว่าทับหลังนั้นทำให้วงกลมสมบูรณ์ ผู้ที่สร้างมันนั้นรู้ได้อย่างไรว่าจะให้ทับหลังรูปทรงอย่างไร เพื่อที่จะให้มันยังคงแบนอยู่ แต่ยังคงสร้างความเป็นวงกลมอย่างค่อยเป็นค่อยไป สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นสูงสำหรับเวลาในช่วงนั้น แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้างวงกลมหินนี้และเพื่อประโยชน์อันใด มันถูกคาดเดาว่า เป็นวัดที่ใช้สำหรับบวงสรวง เป็นหอดูดาว เป็นสุสานสำหรับสักการะ เป็นผลงานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก เป็นจุดลงจอดของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก เป็นเครื่องคิดเลขในยุคหิน หรือนาฬิกา หรือเป็นหอดูดาวของยักษ์ อื่น ๆ เป็นต้น

เมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จบางอย่างของอารยธรรมโบราณเหล่านี้ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยนี้จึงดูประหนึ่งว่าไม่พิเศษอะไรมากนัก จนเดี๋ยวนี้ มนุษย์เองยังคงสามารถถูกทำลายได้โดยการกระทำของมนุษย์เองและภัยธรรมชาติ ซึ่งสามารถเกิดได้จากสงครามนิวเคลียร์, การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด, มลภาวะ และอื่น ๆ ได้ ถ้าหากเรายังคงสร้างบรรยากาศทางลบรอบ ๆ ดาวของเรา, การกระทำอันสวนกระแสธรรมชาติ, การแทรกแซงระบบนิเวศน์วิทยา และการสร้างกำแพงใส่กันในระหว่างผู้คน

มีค่าเปอร์เซ็นต์จำนวนน่าตกตะลึงของผู้คนบนโลกที่ได้เคยมีประสบการณ์จากประโยชน์ของการยกระดับทางจิตวิญญาณ ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปีทอง เราจะมีโอกาสได้บรรลุผลกับอานาคตที่ดี ท่านอาจารย์กำลังอธิบายเมื่อตอนที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าหากทุกคนในโลกนี้สามารถปฏิบัติทางจิตวิญญาณได้ โลกของเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และเป็นดาวพระเคราะห์ระดับสูงเหมือนกับดาวพระเคราะห์ดวงอื่น ๆ ณ เวลานั้นเราจะสามารถสร้างสรรค์ทุกอย่าง และบรรลุผลตามความต้องการของวัตถุใด ๆ เพราะเราได้ถูกยกระดับทางจิตวิญญาณ ตาปัญญาของเราได้ถูกยกระดับขึ้น และเราสามารถทำได้ทุกอย่าง...ในโลกแบบนั้นค่าเปอร์เซ็นต์ของตาปัญญาที่ใช้อยู่จะสูงกว่าในโลกนี้ นั่นคือความแตกต่างระหว่างพวกเขาและพวกเรา ผู้คนที่ชาญฉลาดที่สุดบนโลกนี้ใช้แค่สี่เปอร์เซ็นต์ของความฉลาดเท่านั้น เธอสามารถจินตนาการณ์ได้ไหม แค่สี่เปอร์เซ็นต์! นั่นคือทำไมโลกจึงค่อนข้างถอยหลัง" (กล่าวโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่ โตเกียว ญี่ปุ่น 11 มีนาคม 2535 ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

ผู้คนจำนวนมากได้เห็นล่วงหน้าแล้วว่า โลกของเรามีการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในศตวรรษนี้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์เกิดขึ้นภายในสองสามปี โดยความเป็นจริงมีเทคโนโลยีที่เหลือเชื่อมากมายที่พร้อมจะถูกถ่ายทอดสู่คนธรรมดาสามัญได้ ถ้าหากเรามีกุญแจของความรักและตาปัญญา!