อาจารย์กล่าว

 

อย่าลืมจิต
เดิมแท้ของชีวิต

อนุตราจารย์ชิงไห่ ปราศรัยที่
ไทเป ฟอร์โมซา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2531
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) MP3-CG02

มีเพื่อนบำเพ็ญทำงานเกี่ยวกับการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ ทุกวันต้องทำงานเป็นเวลานานถึง 15 ชั่วโมง เวลานั่งสมาธิจะหลับอย่างสลบไสล เขากังวลว่า การบำเพ็ญจะไม่ก้าวหน้า ดังนั้นจึงขอให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ปัญหา


ชีวิตงานมากทำให้คนเหนื่อยล้า

ช่างน่าสงสารจริง ๆ! พวกเราประดิษฐ์คอมพิวเตอร์หรือเรียนคอมพิวเตอร์ แท้จริงต้องการให้ชีวิตของพวกเรามีความสุขมากขึ้น สบายมากขึ้น คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้ท่านต้องมาเปลืองสมองมากขึ้น ความจริงพวกเราต้องการทำให้ชีวิตเรียบง่ายกว่านี้ สบายกว่านี้ ผลปรากฏว่ายิ่งประดิษฐ์สิ่งของ ชีวิตกลับมีงานหนักขึ้น ดังนั้น ทำให้ยิ่งไม่มีเวลา

นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน แต่เป็นเพราะชีวิตมันเหนื่อยล้าเกินไป ทุกวันอยู่กับคอมพิวเตอร์ ทำงาน 15 ชั่วโมง ทนอยู่ได้อย่างไร? อาจารย์ยอมแพ้ท่าน ถ้าเป็นตัวอาจารย์ คงล้มไปนานแล้ว ล้มอยู่ที่ข้างคอมพิวเตอร์ เพราะงานอย่างนี้มันซ้ำซาก ไม่มีอารมณ์ ทุกวันยังต้องทำงานนานถึง 15 ชั่วโมง เมื่อกลับถึงบ้านสมองก็ต้องเหนื่อยล้ามากอย่างแน่นอน มันเหนื่อยล้าไปทั้งตัว ต่อให้นอนหลับ 7 ชั่วโมงก็ไม่พอเลย! ดังนั้น เวลานั่งสมาธิก็ต้องนั่งหลับอย่างแน่นอน

อาจารย์เห็นใจเธอที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ อาจารย์ไม่ได้โทษเธอ แต่โทษงานของเธอ ให้เปลี่ยนงาน หรือทำครึ่งเดียวก็พอ หาเงินครึ่งเดียวก็พอแล้ว เหนื่อยล้าอย่างนั้น เวลานั่งสมาธิก็ต้องนั่งไม่ได้! สภาพมันเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ไม่อยากนั่งสมาธิ ดังนั้น ยุคนี้จะไปโปรดคนมันยุ่งยากมาก ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนต่างก็ไม่มีเวลา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบมาบำเพ็ญกับอาจารย์ แต่เป็นเพราะชีวิตมันเหนื่อยล้ามากเกินไป ประทับจิตแล้ว แม้จะได้พยายามขึ้นมานั่งสมาธิ แต่ขึ้นมาแล้วก็หลับต่ออีก ที่จริงมันต้องนอนราบลงไป พอลุกขึ้นก็หลับท่าอื่นต่อ มันไม่ได้ต่างกัน น่าสงสารเหมือนกัน !

ถ้าพระศากยมุนีทำงานมากเหมือนกับเธอ พระองค์คงสำเร็จเป็นพุทธไม่ได้ อาจารย์รับรองได้ ไม่ว่าพระองค์จะเป็นอะไร โพธิสัตว์ระดับไหน ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น สถานะการณ์สร้างวีรบุรุษ สถานการณ์สร้างโพธิสัตว์ เช่น นักบุญ ขันที ถ้าไม่ได้เกิดที่อินเดีย ท่านจะเป็นวีรบุรุษไม่ได้ หรือแม้ว่าท่านจะเกิดในอินเดีย แต่ไม่ได้เกิดในยุคนั้น ไม่ได้พบกับเหตุการณ์เช่นนั้น ท่านก็จะไม่มีชื่อเสียง


สร้างสภาพการบำเพ็ญให้สบาย

ดังนั้น พวกเราต้องการเป็นโพธิสัตว์ ก็ควรสร้างเหตุผลอย่างนั้น สร้างสภาพออกมาอย่างนั้น ทำให้พวกเราบำเพ็ญอย่างสบาย อาจารย์ไม่ได้ขอให้พวกเธอโกนผมออกบวช แต่อยากให้พวกเธอเลือกเอางานที่เหมาะสม ถ้างานมันเหนื่อยล้าเกินไป ถูกทางโลกมัดแน่นเกินไป ทำให้พวกเราไม่สามารถยกระดับขึ้นไปได้ ก็ควรเปลี่ยนงาน หรือลดลงครึ่งหนึ่ง พวกเราไม่ใช่มาที่นี่เพื่อทำงานจนตาย แต่มาที่นี่ เพื่อค้นหาจิตพุทธ อาศัยร่างกายนี้บำเพ็ญ ต้องเข้าใจถึงจุดหมายสูงสุด ต้องการขึ้นไปอยู่ดินแดนที่สูง แต่ไม่ใช่มาให้ผูกติดอยู่ที่นี่

ดังนั้น พวกเราเห็นงานอะไรที่ไม่ดีสำหรับการบำเพ็ญ ไม่ดีสำหรับการแสวงหาธรรม ก็ต้องทราบว่านั่นไม่ใช่งานในอุดมการณ์ ต้องเปลี่ยนงานใหม่ พวกเราควรจัดการกับชีวิตของตัวเอง เพื่อให้พวกเรามีเวลาบำเพ็ญจึงจะมีค่า ไม่ใช่ว่าหาเงินได้ก็พอ อย่าถูกทางโลกมันหลอก! อีกไม่นานเงินที่หามาได้จะให้ใครใช้? พวกเราแต่ละวันคงใส่เสื้อผ้าไม่เกิน 3 ชุด! ใส่ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ต่อให้เสื้อผ้าสวยแค่ไหน ก็ไม่สามารถใส่ครั้งละ 3 ชุดด้วยกัน กินข้าวก็เหมือนกัน ไม่ได้กินมากมาย แล้วทำไมต้องทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยล้า? ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง เป็นบ้าแล้ว!


อย่าถูกวัตถุมัดตัว

ดังนั้น ยุคนี้จะมาบำเพ็ญมันไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญญาของคนยุคนี้มีน้อยมาก วัฒนธรรมของคนยิ่งก้าวหน้า ปัญญาก็ยิ่งน้อยลง เพราะเวลาถูกใช้ไปหมด เป็นต้นว่า ปัจจุบันมีโทรศัพท์ ก็ต้องโทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อน คุยกับใคร มีโทรทัศน์ก็ต้องดู ไม่ดูมันเสียดาย มีรถก็ต้องขับ บางครั้งไม่มีที่จะขับ ก็ขับไปเรื่อยเปื่อย ขับวนไปวนมาอยู่ในเมือง ไร้สาระ! มีเวลาก็ต้องไปล้างรถ แล้วต้องไปซ่อมรถ ประกัน เรื่องมากมาย!

ดังนั้น มาโปรดสัตว์ในสมัยนี้ไม่สะดวก สะดวกมาก แต่ก็ไม่สะดวก เพราะทุกคนต่างก็มีงานมาก มีงานมากจนไม่มีเวลาคิดจะหลุดพ้น ไม่มีเวลาคิดว่า “พวกเรามาที่นี่ต้องทำอะไรบ้าง?” ไม่มีโอกาสคิด “เอ! ฉันเกิดมาไม่ได้มาบริการคอมพิวเตอร์ตลอดชีวิต!” ใช้เวลาไปมากมายเช่นนั้น ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก ทุกวันให้เวลามันไป 15 ชั่วโมง เพื่ออะไร? ไม่เห็นมีอะไร

แต่ก่อนโลกของพวกเราไม่มีคอมพิวเตอร์ก็ดี ไม่ได้หมายความว่าคอมพิวเตอร์ไม่มีประโยชน์ พวกเราใช้มันได้ แต่ไม่ควรให้มันมาใช้พวกเรา คนส่วนมากลืมไป มีรถคันนี้ เพื่อให้พวกเราใช้ แต่ว่าคนส่วนมากที่มีรถกลับถูกรถใช้ ใช่หรือไม่? มีคนเช็ดรถสะอาดจนขึ้นเงา แต่เสียดายไม่ยอมขับ ดูแลแต่รถทั้งวัน กลายเป็นคนใช้ของรถ บางคนต้องการหาเงิน ลืมโรคของตัวเอง คิดจะกินอาหารก็ไม่กล้ากิน อยากใส่เสื้อผ้าที่สวยงามก็เสียดาย ไม่ยอมช่วยเหลือญาติพี่น้อง เพราะต้องการจะเก็บเงินไว้มาก ๆ

ยิ่งมากยิ่งดี ลืมไปว่าเงินมีให้พวกเราใช้ ไม่ใช่พวกเราถูกเงินใช้ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเราจะใช้อะไรก็ดี เกิดยุคไหนก็ดี ก็เพียงรู้ว่าควรจะหยุดตรงไหน หยุดที่ไหน อย่าถูกวัตถุมาหลอกใช้ก็แล้วกัน


จิตใจเปิดเผยที่มีต่อสรรพสัตว์ในจักรวาล

พวกเราบำเพ็ญแล้วเปิดเผย บำเพ็ญเพื่อโลก ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว บำเพ็ญเพื่อครอบครัว ยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ได้บำเพ็ญเพื่อบรรพบุรุษ 5 ชั่วโคตรหลุดพ้น แต่ถ้าเพื่อ 5 ชั่วโคตรหลุดพ้นก็ยังดีหน่อย ดีกว่าเพื่อลาภยศ เพื่ออายุยืน เพื่ออิทธิปาฏิหาริย์จึงมาบำเพ็ญ

เวลาพวกเราอธิษฐานขอให้อาจารย์ช่วย ใจพวกเรายิ่งกว้าง คำอธิษฐานอยู่ใหญ่ พลังก็จะยิ่งมาก ถ้าหากพวกเราอธิษฐานเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็จะไม่มีพลัง มีประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีประโยชน์ แต่ไม่มีพลังใหญ่ พวกเราบำเพ็ญถึงเวลาที่ไม่ว่าอยู่ในสภาพอะไรก็ไม่สนใจ เจ็บป่วยก็ดี ให้อาจารย์ดูแล ถูกรางวัลก็ดี ไม่สนใจ ถึงแม้ไม่มีเงิน ก็ไม่สนใจ ไม่อธิษฐานขออะไร พวกเราคิดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านทราบดีทุกอย่าง ฉันไม่ต้องพูดอะไร” เมื่อนั้นเรียกได้ว่าอันดับชั้นของพวกเราสูงมากแล้ว ไม่ต้องสนใจว่านั่งเพ่งแสงแล้วมีแสงหรือเปล่า นั่งฟังเสียงแล้วมีเสียงหรือเปล่า เมื่อนั้นพวกเรามีความพอใจมาก มีใจเป็นปกติ นั่นคือจิตที่บรรลุธรรมแล้ว

แต่บางคนมาบำเพ็ญกับอาจารย์ ก็ยังถามปัญหาเหล่านั้น “ท่านอาจารย์ สามีฉันเป็นอย่างไรบ้าง….” จากนั้น “ลูกฉันเป็นอย่างไรบ้าง…” “ตัวฉันเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร…” ไม่ใช่อาจารย์ไม่ให้พวกเธอถามปัญหาเหล่านี้ แต่ใจของพวกเราน่าจะเปิดกว้างกว่านี้ รวมทั้งสรรพสัตว์ของโลกด้วย เป็นเช่นนี้จึงจะมีใจใฝ่ธรรม อันดับชั้นของพวกเราจึงจะยกระดับสูงขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น มีพลังมากขึ้น จากนั้นก็จะสำเร็จเป็นพุทธเร็วขึ้น

ถ้าพวกเราคิดถึงแต่คนเพียงคนสองคนทุกวัน ก็จะได้รับผลกระทบจากพวกเขา หมายความว่า ไปรับกรรมพวกเขามา พวกเราคิดถึงคนเดียว พลังของเขาก็จะวิ่งมาสู่พวกเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าพลังของเขาเป็นดีหรือเลวก็ตาม พลังมากหรือน้อย พลังของพุทธหรือพลังของมาร พวกเราคิดถึงใคร ก็จะได้รับกระทบจากตัวเขา ดังนั้น พวกเราควรจะคิดแต่สิ่งที่สูงสุด ไม่มีกรรมอะไรเลย ผู้ที่มีพลังมากที่สุด ทำเช่นนี้จึงจะมีประโยชน์สำหรับพวกเรา

ถ้าพวกเรารักกรรมต่าง ๆ ของทางโลก มากกว่ารักพระเจ้า รักปัญญาที่ทรงพลานุภาพของพวกเรา ทางโลกก็จะมีโอกาสดึงพวกเราลงไปอย่างแน่นอน ดังนั้น ความคิดของพวกเรายิ่งกว้างใหญ่ ยิ่งมีปัญญา ยิ่งมีพลัง มีประโยชน์กับพวกเรามากขึ้น ไม่ใช่ว่าอาจารย์จะเข้มงวดมาก ไม่ให้พวกคุณคิดถึงสามี ลูก ภรรยา คิดถึงได้ แต่ว่าพวกเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่าเอาพวกเขามาเป็นที่สำคัญที่สุด ต้องวางพวกเขาอยู่ในจักรวาล เวลาพวกเราอธิษฐานขอ ทางที่ดีขอให้พลังอาจารย์หรือพลังพระเจ้าช่วยเหลือทั้งโลกไม่ต้องมีทุกข์ ญาติของพวกเราก็อยู่ในจำนวนดังกล่าวอย่างแน่นอน รวมทั้งพวกเราด้วย ดังนั้น การอธิษฐานขอที่ดีที่สุดต้องทำเช่นนี้


พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูสรรพสิ่งจึงเป็นผู้มีบุญคุณ

ทำไมพวกเราจึงไม่สามารถหลุดพ้น? อาจารย์จะบอก "เคล็ดลับที่ป้องกัน" เพราะพวกเราหลงเอาของปลอมเป็นของจริง พวกเรายืมท้องคนหนึ่งมาที่นี่ แล้วก็คิดว่าเขาเป็นแม่ของพวกเรา พวกเรารู้สึกว่ามีหน้าที่ มีหน้าที่มากเหลือเกิน ลืมว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดแม่ของพวกเรา พระเจ้าให้กำเนิดท่าน ท่านจึงให้กำเนิดพวกเรา พระเจ้าดูแลท่าน ทำให้ท่านเติบโต ขณะนี้พระเจ้าดูแลพวกเรา แต่พวกเรากลับลืมผู้ที่มีบุญคุณอย่างแท้จริง ใครให้เงินพวกเรา 1 เหรียญ 2 เหรียญ พวกเราก็ซาบซึ้งเขา “ขอบคุณ! ขอบคุณ!” ใครทำอาหารให้พวกเรารับประทาน พวกเราก็จะพูดว่า “ขอบคุณ! ขอบคุณ!” ใครฉีดยาให้พวกเรา “โอ! ขอบคุณ! ขอบคุณ!” พวกเราลืมผู้ที่ดูแลพวกเราอย่างแท้จริง ท่านดูแลหมอคนนั้นด้วย เขาจึงสามารถช่วยพวกเรา

ผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเราคือพระเจ้า ผู้ที่เลี้ยงพวกเราเติบโตคือพระเจ้า ผู้ที่รักพวกเราก็คือพระเจ้า หมายความถึงพลังที่สูงสุด คือ ปัญญาที่พวกเราเดิมมีอยู่แล้ว บางครั้ง พวกเราเอาแต่ผู้มีบุญคุณไม่จริง และลืมผู้มีบุญคุณที่แท้จริง ดังนั้นจึงหลุดพ้นไม่ได้ เป็นต้นว่า จดหมายที่พวกเราได้รับจากแม่หรือคนรัก ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาให้พวกเราเท่านั้น ในจดหมายเขียนอะไรเขาไม่รู้เรื่อง แต่พวกเราก็ทราบว่าบุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายมาให้พวกเรา ฉะนั้นจึงกล่าวว่า “ขอบคุณไปรษณีย์!” ทำเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่ว่าสภาพส่วนมากพวกเราขอบคุณคนทางโลก ก็จะคิดว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณกับพวกเรา ดังนั้น อาจารย์จึงไม่เรียกพวกเธอไหว้อาจารย์ อาจารย์เป็นบุรุษไปรษณีย์เท่านั้น อาจารย์นำของขวัญมาให้พวกเธอ เป็นของขวัญของเธอเอง ดังนั้น ไม่ต้องมาไหว้คนนี้ ไหว้เขา ตัวอัตตาของเขาจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าเขาเป็นคนทำ

ในโลกนี้ ไม่มีร่างกายไหนที่วิเศษ จิตพุทธของพวกเรามันอยู่ภายใน พวกเธอก็มีจิตพุทธ อาจารย์ก็มีจิตพุทธ พวกเธอลืมจิตพุทธของตัวเอง อาจารย์มาเปิดให้พวกเธอดู ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น ไม่ต้องไปไหว้ใคร คนข้างนอกคิดว่าอาจารย์ชอบลาภยศ ชอบให้คนสรรเสริญ จึงออกมาแสดงธรรม ไม่มีเลย! มิฉะนั้นแล้ว อาจารย์ให้พวกเธอมากราบทุกวันอาจารย์ก็จะดีใจ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่มาไหว้อาจารย์ เป็นคนที่อาจารย์ด่ามากที่สุดใช่ไหม? (ทุกคนตอบว่า : ใช่) ดังนั้น อย่าได้อวิชชา ทำมารยาทภายนอก

พระศากยมุนีก็พูดเหมือนกัน พระองค์ตรัสว่า “มือฉันชี้ไปที่ดวงจันทร์เท่านั้น ฉันไม่ใช่ดวงจันทร์ มองตามมือฉัน ก็จะเห็นดวงจันทร์” แต่คนทั้งโลกกลับยกให้พระองค์เป็นพุทธเพียงองค์เดียวเท่านั้น เวลาที่พระองค์มีชีวิตอยู่ ก็เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เวลานี้มันไม่ใช่ แต่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจเหตุผล พวกเธอไปคุยเรื่องอย่างนี้ให้คนฟังที่ไหน พวกเขาจะไม่ยอมรับ ดังนั้นจึงมีคำพูดว่า "พระศากยมุนีสูงกว่าพระเยซู" หรือ "พระเยซูสูงกว่าพระศากยมุนี" "เล่าจื๊อสูงกว่าขงจื๊อ" "พระศากยมุนีสูงกว่าขงจื๊อมาก" เพราะคนทางโลกหลงเอาของปลอมเป็นของจริง ดังนั้น จึงเดินจากไปไม่ได้


มองเห็นกฎแห่งกรรมชัดเจน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการบำเพ็ญ

พวกเราแต่ละคนไม่ใช่มีบุญสัมพันธ์กับคน ๆ เดียวเท่านั้น แต่มีบุญสัมพันธ์กับจำนวนมาก พวกเรามีพ่อแม่มากมาย ไม่ว่าพวกเราจะเกิดยุคไหนก็ตาม จะมีพ่อแม่ เป็นสัตว์ก็มีพ่อแม่ เป็นเทวดาก็มีพ่อแม่ เป็นอสูรกายก็มีพ่อแม่ เป็นแมลงก็มีพ่อแม่ เป็นต้นไม้ก็มีพ่อแม่ ต้นฝรั่งก็มีแม่เป็นต้นฝรั่ง(ทุกคนหัวเราะ) ไม่มีชาติไหนที่พวกเราไม่มีพ่อแม่ ดังนั้น ทุกภพทุกชาติพวกเราจึงมีพ่อแม่มากมาย ทุกครั้งที่พวกเราลงมาเกิด ก็จะเลือกพ่อแม่คู่หนึ่ง แม้พวกเราจะไม่เลือก คนอื่นก็เลือกให้ เพราะว่าพ่อแม่เหล่านั้นก็มีบุญสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ใช่ว่าจะมีบุญสัมพันธ์กับพวกเราคนเดียว บุญสัมพันธ์ของพวกเรามีมากมาย ดังนั้น พวกเราต้องตัดบุญสัมพันธ์ ตัดกฎแห่งกรรมมันยาก

พวกเราทุกครั้งที่ตั้งปณิธานว่าจะลงมาบำเพ็ญ เป็นสรรพสัตว์ที่สูงส่ง เป็นพุทธ สุดท้ายพอมาที่นี่ ก็ไปยึดเอาแม่ของฉัน พ่อของฉัน ภรรยาฉัน ลูกฉัน หลานฉัน มันก็จบกัน! เพราะถูกสิ่งเหล่านี้ผูกมัดไว้ ดังนั้น จึงเดินจากไปไม่ได้ คิดไม่ออก ถ้าพวกเรามาจากข้างบน และจำได้ว่า พวกเราเมื่อก่อนตั้งปณิธานว่าอะไร ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก!

พวกเรามาจากข้างบน ถ้าไม่มีพ่อแม่คู่หนึ่งให้ร่างกายพวกเรา พวกเราจะลงมาได้อย่างไร? เป็นเพราะพวกเรามีบุญสัมพันธ์กับพวกเขาจึงลงมาได้ พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น เหมือนกับรถแท็กซี่ พวกเราขึ้นจาก ไทเปไปที่เกาสง ถ้าได้มันก็รวดเร็วกว่า สะดวกกว่า ถ้าไม่มีรถแท็กซี่ พวกเราก็ต้องไปขึ้นรถไฟ นั่งเครื่องบิน สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่คนทั่วไปไม่เข้าใจถึงเหตุผลนี้ ผู้เป็นแม่ก็คิดว่า “เขาเป็นลูกของฉัน” เด็กก็คิดว่า เธอเป็นแม่ของเขา ดังนั้น จึงมัดเข้าด้วยกัน

ถ้าพ่อแม่กับลูกต่างก็รู้แจ้ง เข้าใจว่าพวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มาโลกนี้เพื่อหามหาอาจารย์บำเพ็ญ ครอบครัวชนิดนั้นจะมีบุญมากที่สุด ทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อบำเพ็ญ ก้าวหน้าเร็วมาก เร็วมาก! แล้วก็ขึ้นไปด้วยกัน แม้อยู่ที่นี่จะไม่มีบุญสัมพันธ์มากนัก เมื่อขึ้นไปแล้วก็อยู่ด้วยกันได้ เป็นเช่นนี้ก็ยอดเยี่ยมมากใช่ไหม? (ทุกคนตอบ : ใช่) ถ้าหากเอาแต่รักฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่นี่ อย่างมากก็ผูกอยู่ด้วยกัน 100 ปีเท่านั้น จากนั้น ต่างคนก็ต่างไป ยิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก!

พวกเธอถ้ารักลูก รักพ่อแม่จริง ก็ควรกล่อมพ่อแม่ ลูกมาบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นไปด้วยกัน ไม่ต้องจากกันตลอด เป็นเช่นนี้ มันดีที่สุดใช่ไหม? (ทุกคนปรบมือ) ใช่แล้ว! อยู่ที่นี่ แม้พวกเราจะเอาเงินให้พ่อแม่ ให้ลูกใช้ ก็ไม่เท่าไร พวกเขาก็ยังเป็นทุกข์ เจ็บป่วย อวิชชา อีกไม่นานพวกเราขึ้นไป พวกเขายังคลานไปคลานมาอยู่ที่นี่


เผยแพร่สัจธรรมเป็นการกตัญญู

ดังนั้น พระศากยมุนีจึงตรัสว่า ลูกที่กตัญญูที่สุดต้องกล่อมพ่อแม่บำเพ็ญ บอกสัจธรรมให้กับพวกเขา ทำให้พ่อแม่เข้าใจ รู้แจ้ง ทำเช่นนี้จึงจะเป็นลูกที่กตัญญูที่สุด ไม่ใช่เอาแต่เงินให้พวกเขาใช้ แต่ว่า ถ้าพ่อแม่ไม่มีเงิน พวกเราก็ไปแสวงหาธรรมโดยลำพังไม่ได้ ทำให้พวกเขาอดตาย ทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ ถ้าพ่อแม่มีคนดูแล ไม่ต้องอดตาย แสดงว่าดวงของพวกเราช่างดีเหลือเกิน!

สังฆปรินายกองค์ที่ 6 ฮุยหนิง เป็นลูกโทน เขาไม่มีเงิน เดิมทีจะไปแสวงหาสัจธรรมก็ไม่สะดวก สุดท้ายมีคนมาช่วยเขา เอาเงินให้เขา เขาก็นำเอาเงินนั้นไปให้ผู้อื่นดูแลแม่ จากนั้น ก็รีบออกเดินทางทันที คนที่รู้แจ้งต้องเป็นอย่างนี้ พระศากยมุนีบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นพุทธ แม่ของพระองค์จึงได้ไปเกิดที่สวรรค์เชี่ยลี่ ถ้าพระศากยมุนีไม่ได้บำเพ็ญจนบรรลุธรรม หรือถ้าแม่ของพระองค์ไม่ได้ให้กำเนิดพระศากยมุนี แต่ให้กำเนิดปุถุชน เธออาจจะไม่ได้ไปเกิดที่สวรรค์เชี่ยลี่ ไปเกิดที่ดินแดนอะไรก็ไม่ทราบ

เพราะว่าเป็นราชินี บางครั้งก็มีกรรมมาก ทุกวันพระองค์ไม่ได้ทำอะไรเลย เสวยแต่ข้าวที่คนปลูกให้ นั่งอยู่ที่นั่นให้คนมองสวยงามเท่านั้น ภาษีของประชาชนเอย บุญคุณเอย สร้างตำหนักเอย ทุกวันต้องมีคนรับใช้ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องยืมกรรมของสรรพสัตว์ทั้งสิ้น แล้วจะไปเกิดที่สวรรค์เชี่ยลี่ได้อย่างไร ? ในนรกมีพระราชาอยู่มากมาย พระราชาสมัยโบราณล้วนไปอยู่ที่นั่น เป็นเพราะกรรมของสรรพสัตว์นั่นเอง พระราชาถ้าไม่มีคุณธรรม และไม่ดูแลประชาชนให้ดี โอย! แย่มากเลย! กษัตริย์ที่เหลวไหล กษัตริย์ที่ใช้ความรุนแรง ต้องตกนรกหมด อยู่ที่นี่ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไร เมื่อตายไปแล้วต้องตกลงไปลึกมาก

พวกเราบำเพ็ญจะช่วยพ่อแม่อย่างไร้รูป การช่วยเหลือที่ใหญ่ที่สุด ก็คือให้พวกเขาหลุดพ้น แต่ไม่ใช่ดูแลร่างกายที่อนิจจังของพวกเขา ทำให้พวกเขาอวิชชา มีชีวิตผ่านไปแบบมัวเมา ถ้าพวกเราไม่สามารถโปรดจิตใจเขาได้ ทางที่ดีที่สุดขอให้พวกเราบำเพ็ญ เพื่อให้บุญกุศลของพวกเราแบ่งปันให้กับพวกเขาได้อย่างไร้รูป มิฉะนั้นแล้ว พวกเราจะเป็นลูกที่อกตัญญูจริง ๆ!