รายงานตามคำสั่งและการจัดอันดับของท่านอาจารย์

อากาศของโลกนี้
จะสดชื่นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


โดยกลุ่มข่าวฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

บุหรี่เป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการตายในโลกปัจจุบันนี้ และครึ่งหนึ่งของผู้สูบในปัจจุบันจะต้องเสียชีวิตเพราะมัน เป็นเวลามากกว่า 50 ปีแล้วที่แพทย์ได้ตระหนักถึงอันตรายของการสูบบุหรี่ แต่อำนาจของการมอมเมาของบุหรี่ต่อมนุษยชาตินั้นมีมากมาย ทำให้รัฐบาลต่าง ๆ ไม่สามารถออกกฎหมายควบคุมบุหรี่ได้ อย่างไรก็ตาม ในหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มที่จะยืนขึ้นต่อสู้กับบริษัทผลิตบุหรี่ และเริ่มมีกฎหมายออกมาห้ามการสูบบุหรี่

เป็นต้นว่า ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2548 องค์การอนามัยโลกได้ร่างสนธิสัญญาเรื่องการควบคุมยาสูบ (FCTC)
มาตรการระหว่างประเทศมาตรการแรกที่ใช้กับอุตสาหกรรมยาสูบได้บรรลุผล ในขณะที่เราเขียนบทความนี้อยู่ มี 124 ประเทศที่กำลังเข้าร่วมสนธิสัญญานี้ ซึ่งทำให้สัญญาฉบับนี้มีการนำไปใช้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเด็นสำคัญคือ ทุกประเทศต้องห้ามการโฆษณาบุหรี่ และออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในเวลา 5 ปี


ความพยายามในการต่อต้านการสูบบุหรี่ในทวีปเอเชีย


สนธิสัญญา FCTC ได้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการห้ามสูบบุหรี่ทั่วโลก ร่วมถึงดินแดนเล็ก ๆ ของ อาณาจักรหิมาลัยแห่งภูฐาน, ซึ่งในปี 2547 ได้กลายเป็นประเทศแรกที่ได้ออกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ และในประเทศอินเดียได้มีการห้ามการโฆษณาบุหรี่อย่างสิ้นเชิง ทางตอนเหนือคือประเทศจีนได้มีการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะตั้งแต่ปี 2539 อย่างไรก็ตาม การห้ามสูบบุหรี่ไม่ได้กระทำอย่างจริงจัง เลยทำให้อัตราการสูบบุหรี่นั้นสูงขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศจีนนั้นมีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาที่ จีนได้เซ็นต์สัญญา FCTC ในปี 2548 ซึ่งแตกต่างจากปี 2539 รัฐบาล จีนได้วางแผนการบทลงโทษการใช้บุหรี่อย่างจริงจัง

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีการห้ามการสูบบุหรี่ด้วยการปรับเงิน ได้ดำเนินรอยตามตัวอย่างของประเทศภูฐาน และกลายเป็นประเทศที่ปราศจากบุหรี่โดยสิ้นเชิงการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะจะถูกปรับ 600 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ และผู้ขายบุหรี่ให้กับเยาวชนจะถูกปรับ 6,000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ

การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องของการควบคุมการสูบบุหรี่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งการสูบบุหรี่นั้นเป็นวัฒนธรรมฝังลึกของชาวอิสลาม ตัวอย่างคือ อิหร่านและซีเรีย ได้มีการผ่านกฎหมายห้ามสูบบุหรี่เมื่อไม่นานมานี้ ประเด็นถกเถียงของชาวมุสลิมก็คือว่า การสูบบุหรี่นั้นเป็นเพียงสิ่งไม่ดี หรือว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม และมีนักวิชาการมุสลิมจำนวนมากขึ้นที่คิดว่า ยาสูบนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และสิ่งนี้ได้นำไปสู่การออกกฎหมายใหม่โดยผู้นำทางการเมือง ดังนั้น ประเทศมุสลิมเกือบทุกประเทศกำลังเสนอให้มีการห้ามการสูบบุหรี่ ที่จริงแล้วในเดือนมีนาคมของปี 2549 กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในโลก ได้ออกกฎการจำกัดอาณาเขตสูบบุหรี่ขึ้น


การประกาศห้ามยาสูบในยุโรป


การพลักดันให้เกิดการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่นั้นเริ่มขึ้นที่ยุโรป ในเดือนกรกฎาคม 2548 สหภาพยุโรปได้ผ่านคำขอให้ทุกประเทศในกลุ่ม ห้ามการโฆษณายาสูบในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นทางวิทยุ หรืออินเทอร์เน็ต มีประเทศในกลุ่มหลาย ๆ ประเทศที่ได้ไปไกลยิ่งกว่านั้น คือ ได้ผ่านกฎห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศแห่งผับ เป็นประเทศแรกในโลกที่ได้ออกกฎห้ามสูบบุหรี่ในทุก ๆ ที่รวมถึงในผับด้วย ถ้าคุณสูบบุหรี่ คุณจะต้องเสียค่าปรับ 3,600 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ และค่าปรับอันสูงนี้ได้นำไปสู่การให้ความร่วมมือด้วยดี

จากการกระทำของไอร์แลนด์ กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ทั่วยุโรปก็ได้มีตามมา นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี สเปน อังกฤษ และรัสเซีย (แต่ละประเทศ) ต่างได้ออกกฎห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะด้วยค่าปรับราคาแพง หลังจากนั้น 1 ปี กฎหมายต้านการสูบบุหรี่ของอิตาลีได้นำไปสู่การซื้อบุหรี่ที่ลดลงอย่างมาก และมีคนกว่าครึ่งล้านที่กำลังเลิกสูบ และแม้ว่าพฤติกรรมการสูบบุหรี่จะฝั่งรากลึกในวิถีชีวิตของชาวสเปน กว่า 70% ของประชากรให้การสนับสนุนการห้ามสูบบุหรี่ กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ฉบับใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสภาเป็นสิ่งน่าฉงนยิ่ง เนื่องจากสมาชิกสภาได้ออกเสียงให้มีมาตรการเข้มงวดที่สุดในเรื่องนี้ ซึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เมื่อถึงเวลาที่การห้ามมีผลบังคับใช้ในปีหน้า การอนุญาตให้คนสูบบุหรี่ในที่สาธารณะรวมถึงผับและคลับจะต้องเสียค่าปรับ 4,000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ

เยอรมัน ก็ได้มีการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่วิธีใหม่ ซึ่งผู้สูบจะได้รับเงิน 12,000 ดอลล่าร์ ถ้าเขาสามารถไม่สูบบุหรี่ได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เงินรางวัลนี้จะสุ่มให้แก่ผู้ที่กำลังเลิกบุหรี่ที่ลงทะเบียน มีผู้สูบบุหรี่ประมาณ 90,000 คนเข้าร่วมในปี 2547 และหนึ่งในสามของผู้เข้าร่วมสามารถเลิกบุหรี่ได้


ถอนรากยาสูบในอเมริกา


แม้ในคิวบา ซึ่งเป็นผู้นำการผลิตซิก้าของโลก ได้ออกกฎห้ามสูบบุหรี่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ผู้นำทางการเมืองของคิวบา นายฟิเดล คาสโตร ซึ่งเคยเป็นผู้สูบบุหรี่จัด แต่เขาได้เลิกสูบบุหรี่เนื่องจากการป่วย นอกจากนี้ ทั่วทั้งลาตินอเมริกา รัฐบาลต่าง ๆ ได้พร้อมใจกันออกกฎห้ามสูบบุหรี่ และในวันที่ 1 มีนาคม 2549 ประเทศอุรุกวัย กลายเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาใต้ที่ได้เซ็นต์สนธิสัญญา FCTC

การต่อสู้ในเรื่องยาสูบที่เข้มข้นที่สุดนั้นเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเสมือนเป็นบ้านเกิดของอุตสาหกรรมยาสูบของโลก มีคดีความนับพันคดีฟ้องร้องโดยผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่ โดยเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกที่มีการสูบบุหรี่ และโดยผู้ดูแลด้านอนามัย ได้ฟ้องบริษัทยาสูบขนาดใหญ่ ในปี 2541 บริษัทยาสูบของสหรัฐหลาย ๆ บริษัทได้แพ้คดีความที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งคิดเป็นค่าตอบแทนกว่า 200 ล้านดอลล่าร์ คดีนี้ได้ถูกฟ้องร้องแทนรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ และกำลังมีการต่อสู้คดีซึ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนโดยรัฐบาลของสหรัฐ คดียาสูบในสหรัฐค่อย ๆ นำแสงสว่าง ทำให้เราได้เริ่มเห็นถึงเทคนิคการตลาดอันร้ายกาจที่บริษัทยาสูบนำมาใช้เพื่อให้คนติด และเป็นเหตุของการตายอย่างช้า ๆ ของการตายส่วนใหญ่ในโลก

แม้ว่าสหรัฐจะยังไม่ได้ออกกฎการห้ามสูบบุหรี่ ก็มีรัฐ 12 แห่ง และกว่า 100 เมืองที่ได้ห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะทั้งหมด เมืองในแคลิฟอร์เนียที่ มีชื่อว่า ซาน ลุยส์ โอบิสโพ เป็นเมืองแรกในโลกที่ได้ออกกฎดังกล่าวในปี พ.ศ. 2533 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีรัฐจำนวน 12 รัฐได้ดำเนินรอยตาม ซึ่งรวมถึงดินแดนในเขต เปอร์โต ริโก้ ในเดือนมีนาคม 2549 ที่รัฐฟลอริด้า ประชากรได้ร่วมกันออกกฎหมายดังกล่าวในการเลือกตั้งปี 2545 และกฎนี้ได้ถูกบัญญัติเข้าไปในรัฐธรรมนูญของรัฐโดยตรง แม้ว่าการห้ามสูบบุหรี่จะไม่รวมถึง สถานบันเทิงยามราตรี การรณรงค์ที่ฟลอริด้าส่งผลให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ในโรงเรียนมัธยมต้นลดลง 50% และมีจำนวนผู้สูบลดลง 35% ในโรงเรียนมัธยมปลาย

การห้ามสูบบุหรี่ที่มีผลกระทบมากที่สุดเกิดขึ้นในปี 2546 ที่ กรุงนิวยอร์ค ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการเงินของโลก และเป็นศูนย์กลางของสหประชาชาติ แม้ว่าการห้ามสูบบุหรี่จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่นักกฎหมายต่างถกเถียงกันในเรื่องผลกระทบทางการเงิน "ผู้คนจะหยุดไปทานอาหารที่ร้านอาหารหรือไม่?" "รัฐบาลจะเสียรายได้จากการเก็บภาษีบุหรี่หรือไม่?" แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี การวิจัยต่าง ๆ ก็พบว่า กฎนี้มีผลกระทบทางบวกต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก การจ้างงานในร้านอาหารนั้นเพิ่มขึ้น ภาษีจากร้านอาหารนั้นเพิ่มขึ้น 8.7% ผู้คนให้ความร่วมมือ 100% และผู้คนทั่วไปให้การสนับสนุน การวิจัยคล้าย ๆ กันได้พบว่า มันเป็นข้อเสนอที่ทุกฝ่ายมีแต่ได้ ผลการสำรวจเหล่านี้ไม่ได้รวมถึงการวิจัยทางด้านการออมทรัพย์เพื่อโปรแกรมสุขภาพ ซึ่งได้ถูกรวบรวมไว้ในสหรัฐ และประเทศอื่น ๆ นับศตวรรษ ด้วยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แน่ชัดเช่นนี้ เป็นเพียงแค่เวลาเท่านั้น ที่มวลมนุษยชาติจะหลุดพ้นจากคำสาปของบุหรี่




ส่งหน้านี้ต่อให้เพื่อน ๆ